คำถามยอดฮิตประจำสภากาแฟ, ชา, โอเลี้ยงที่ว่า เตะกี่โมง, มีถ่ายมั้ย, ถ่ายช่องไหนบลา บลา บลา
จนถึงยุคปัจจุบัน คนวัยดิจิทัล คำว่า คำถามดังกล่าวก็ยังอยู่ และที่เพิ่มมาก็คือ มีลิงก์มั้ย ในยุคสื่อสารไร้ความปรานี ไม่เห็นเฮดของ“ผู้ถือลิขสิทธิ์” ใดๆ
คำว่า “ถ่ายช่องไหน” กลับมาแรงมากอีกครั้งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และเริ่มหนักขึ้นเมื่อฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือยูโร 2020 ขยับเข้าใกล้วันตัดริบบิ้น ศุกร์ที่ 11 มิถุนายนนี้
กับคำว่า “ใครถ่ายยูโร?”
กำลังจะเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่การดวลแข้ง “ฟุตบอลกลับบ้าน” ที่ประเทศอังกฤษ เป็นเจ้าภาพตั้งแต่ยูโร 1996 เป็นต้นมา ที่จะไม่มีถ่ายทอดสดฟรีทุกนัด
ตกลงแล้ว...ใครถ่ายยูโร????
l รัฐ ‘คืนความสุข’ ไม่ได้เพราะ...
ธุรกิจทีวี แบ่ง 2 ส่วน คือ ฟรีทีวี ซึ่งรวมถึงทีวีดิจิทัล (หรือดิจิตอล) และโทรทัศน์บอกรับสมาชิก (Pay TV)
เมื่อ “เทคโนโลยีดิสรัปต์” ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายหลายมิติ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ก็จำเป็นจะต้องปรับให้ทันโลกด้วย (หรือไม่)
กติกาใหญ่ๆ ที่วางตั้งมาตั้งแต่ 8 ปีก่อน แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ กฎมัสต์แคร์รี่ (Must Carry) และกฎมัสต์แฮฟ (Must Have)
มัสต์ แคร์รี่ คือ ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตกิจการทีวีทุกประเภทของ กสทช.ต้องนำทีวีดิจิทัลทุกช่องไปออกอากาศบนแพลตฟอร์มของตนเอง ทั้งทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี อินเทอร์เนตทีวี เพย์ทีวี
มัสต์แฮฟ (Must Have) กำหนดให้ทุกแพลตฟอร์มต้องนำรายการกีฬา 7 ประเภท ได้แก่ ซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, เอเชียนพาราเกมส์, โอลิมปิก, พาราลิมปิก และฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ไปออกอากาศ
สังเกตได้ว่า ไม่มี “ยูโร” อยู่ในนั้น
เมื่อเป็นแบบนี้ รัฐบาลจึงไม่สามารถนำงบภาษีที่เก็บจากประชาชนมาคืนความสุขจัดความทุกข์ ไปร่วมประมูลซื้อลิขสิทธิ์มาถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ (ทีวีพูล) หรือผ่านช่องทางอื่นได้ ต้องเป็นช่องทีวีเอกชนเท่านั้น ถึงจะสามารถประมูลฟุตบอลยูโร มาถ่ายทอดสดให้คนไทยได้ดูกัน
ยิ่งช่วงนี้มันคือ “ยามยาก” ที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในยุคสมัยนี้กับ “ไวรัสครองเมือง”
บวกกับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป การดูฟุตบอลที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ดูบอลแบบ “จับจด” ไม่ได้ดูฟุตบอลเข้าขั้น “จริงจัง” หนัก จนถึงบางกลุ่มที่โลกเปลี่ยน ขอบคุณ “ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์” ที่เอามาให้ดูฟรีตามที่ต่างๆ กลายเป็น “พระเอก” ทั้งที่ “กระทำผิด”มันทำให้ไม่ใครกล้าในโลกที่ “กลับหัว” แบบนี้
สำคัญที่สุดก็คือ ค่าลิขสิทธิ์ที่แพงจัดระดับ “พันล้าน” เมื่อราคามันระยับขนาดนั้น จึงไม่มีใคร “กล้าพอ” หรือจะมี “เศรษฐีใจดี” ในยุคนี้ ซื้อมาถ่ายทอดสดให้ได้ดูกัน
เรื่องนี้ กสทช.ก็ต้องได้รับการย้อนถามไปอีกทีว่า...ใครถ่ายยูโร!!!!!
l ทั่วโลกได้เฮ-4 ชาติอาเซียนไม่ถ่าย
หากจะบอกว่านี่คือ “ช่วงเวลายากลำบาก”ในการดำเนินธุรกิจ, มีการละเมิดลิขสิทธิ์จนควบคุมกันไม่อยู่, การเลี่อนแข่งขันมา 1 ปี รวมไปถึงอะไรต่างๆโดยเฉพาะกฎ, กติกา มารยาท ที่ถูกเขียนจำเพาะเจาะไว้
ฟุตบอลยูโร ตามหมายงานของ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือยูฟ่า ระบุเอาไว้ในเว็บไซต์uefa.com ภายใต้หัวข้อ Where to watch UEFAEURO 2020 ได้ทำการระบุชาติต่างๆ ที่ถ่ายทอดสดไล่เลียงความยาวและคะเนด้วยสายตาคือ กว่าร้อยประเทศที่ได้ชม
นับเฉพาะภูมิภาคอาเซียน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา มี 4 ประเทศที่ไม่มีในลิสต์ นั่นหมายว่าไม่มีการถ่ายทอดสด นั่นก็คือ ฟิลิปปินส์, ลาว,เมียนมา และไทย
นับดูตรงประเทศที่ขึ้นต้นด้วยตัว “T” เหมือนกับประเทศไทย ก็จะไม่เจอกับคำว่า“Thailand”
ประเทศที่ขึ้นต้นด้วยตัว “T” ที่ถ่ายทอดสดมีทั้ง ตาฮิติ, ไต้หวัน, ทาจิกิสถาน, แทนซาเนีย, ติมอร์เลสเต, โตโก, ตองก้า, ตรินิแดด แอนด์ โตเบโก, ตูนีเซีย, ตุรกี, เติร์กเมนิสถาน
ประเทศหรือหมู่เกาะต่างๆ ที่หลายคนไม่คุ้นชื่อก็มีการถ่ายทอดสดเช่นกันที่ขึ้นต้นด้วยตัว “T” ก็คือ ตอร์โตล่า ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน, โตเคเลา เขตการปกครองตนเองกึ่งอาณานิคมของนิวซีแลนด์, หมู่เกาะเติกส์และหมู่เกาะเคคอส อาณานิคมโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร และตูวาลูประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
ดังนั้นการไม่มีใครกล้าที่จะ “ลงทุน”ในครั้งนี้มันเกิดจากอะไรกันแน่ หรือเป็นแค่“คำแก้ตัว” และ “คำกล่าวอ้าง” ต่างๆ จนสุดท้ายเรายังไม่รู้เลยว่า...
ใครถ่ายยูโร!?!?!?!?!?!?
l ผ่านยุคความสุขจากฟุตบอลไว้ที่ 25 ปี
ฟุตบอลยูโร ถ่ายทอดสดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1996 ที่ได้ชมกันแบบทุกนัด หลังจากก่อนหน้านั้นได้ดูกันนัดเปิดสนาม, รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ
เราผ่านความทรงจำชั้นยอดกับยูโร “ยุคก่อนมิลเลนเนี่ยม” มากมาย จากการถ่ายแบบนัดเว้นนัดก็ยังดีศรีทนได้
ยูโร 1988 ที่ผู้เขียนได้ดูเป็นครั้งแรก ด้วยวัย12 ขวบ ยังจดจำลูกยิงใบไม้ร่วงทั้งสวนของ “เพชฌฆาตพรายกระซิบ” มาร์โก้ แวน บาสเท่น ในนัดชิงชนะเลิศ และเป็นความทรงจำจนถึงทุกวันนี้
ยูโร 1992 ชัยชนะอันเหลือเชื่อของ เดนมาร์ก ที่ซ้อม 7 วันแล้วผงาดแชมป์
จนมาถึงยุคที่ได้ดูทุกนัดในยูโร 1996พอล แกสคอยน์ กับลูกกระดก, ลูกยกของ คาเรล โพบอร์สกี้,ลูกดีดไซด์ก้อยของ เจอร์เก้น คลินส์มันน์, อิตาลีตกรอบแรก, อังกฤษ ยิงจุดโทษชนะหนแรก ก่อนจะแพ้ด้วยจุดโทษอีกครั้ง และปิดท้ายด้วยโกลเด้น โกล์ของ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ
เหล่านี้ไม่ต้องเปิดตำราหรือหาตามเนตมันอยู่ในอนุสติมาโดยตลอด...
หากเรานับเข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม ไล่เลียงมานั้น การถ่ายทอดสดมีอยู่ต่อเนื่อง และยังจำคำพูดการซื้อลิขสิทธิ์ยูโร ทุกครั้งว่า “ขอแค่สร้างชื่อไม่หวังกำไร”
แม้ว่า “ฟุตบอล” จะเป็นเกมกีฬาได้รับความนิยมสูงสุด แต่ในแง่ของการซื้อลิทธิ์มาถ่ายทอดสดแล้ว กลับต้องอยู่ในภาวะ “ล้มลุกคลุกคลาน”อยู่ตลอดเวย์ เพราะข้อจำกัดที่มากมาย อาทิการห้าม “ตัดเข้าโฆษณา” ระหว่างเกม แค่นี้ก็ปวดหัวกับลูกค้าแล้ว...
บันทึกการถ่ายทอดสดเอาไว้ในยุคใหม่ ฟุตบอลยูโร กับ ประเทศไทย
ยูโร 2000 ช่อง 3
ยูโร 2004 ช่อง 3 กับ ช่อง 7
ยูโร 2008 “อาร์เอส” ซื้อ และถ่ายทอดทางช่อง 7 และโมเดิร์นไนน์ทีวี
ยูโร 2012 “แกรมมี่” จับมือช่อง 3-5-
โมเดิร์นไนน์ และดีทีวี
ยูโร 2016 “แกรมมี่” และช่อง 3
ยูโร 2020 เตะปี 2021 สรุปได้เลยว่า ตกลงแล้ว...
ใครถ่ายยูโร!?!?!?!?!?!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี