เมื่อไหร่ก็ตามที่อังกฤษ กับ สกอตแลนด์ต้องโคจรมาเจอกันในโลกของฟุตบอลมันชวนให้นึกถึงเรื่องราวๆ ต่างๆ ที่อยู่นอกขอบของสนาม
นี่เป็นเกม“ใหญ่ที่สุด” ของเกาะอังกฤษ ในรอบ 25 ปี นับจากการพบกันในศึกยูโร 1996 และใหญ่กว่าเกมที่ อังกฤษ พบกับ เวลส์ เมื่อ 5 ปีก่อน ณ ยูโร 2016
รอยแผลและแรงแค้นที่ฝังลึกเข้าสู่วงการฟุตบอล เมื่อภาพที่ พอล แกสคอยน์ กระดกบอลข้ามศีรษะของ โคลิน เฮนดรี้ แล้วยิงเสียบตาข่าย ที่เวมบลี่ย์ ยุคหอคอยคู่ พร้อมกับท่าดีใจ dentist chair หรือหมอฟันบันลือโลก ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่ล้านครั้ง เมื่อเทศกาลชิงเจ้าทวีปมาถึง
มันยิ่งกว่าการสะกิด “รอยแผลเป็น” และ “เปิดแผล” ย้ำซ้ำรอยเก่าอยู่เสมอ
โอกาสครั้งนี้เหมือนจะทำให้ สกอตแลนด์ ได้ลบแค้นสุมอกออกไป แต่จากขุมกำลัง และประเมินกันที่สถานการณ์แล้ว
รอยแผลจะยิ่งบาดลึกลงไปในใจของพวกเขาอีกครั้ง..............
.....ฟรีด้อมมมมมมมมม!!!!!!!!!! เสียงตะโกนครั้งสุดท้ายของ วิลเลี่ยม วอลเลซ ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ตลอดกาลเรื่องสำคัญอย่าง Braveheart ถูกนำเสนอฉายให้คนทั้งโลกได้ชมเมื่อปี 1995 ก่อนที่ ยูโร1996 จะเริ่มเพียงแค่ปีเดียว กระแสในตอนนั้นทำให้ฟุตบอลคู่นี้ที่จับสลากในช่วงปลายปี’95 ยิ่งแรงขึ้น
หลายคนศึกษาประวัติศาสตร์ระหว่าง อังกฤษ กับ สกอตแลนด์ จากหนังเรื่องนี้ และหลายคนเริ่มจริงจังกับการศึกษาเมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้
พร้อมกับทำความเข้าใจกันว่า ความแตกต่างระหว่างรัฐ(State), ชาติ(Nation) และประเทศ(Country) เป็นอย่างไร และทำไมถึงไม่ใช้คำว่า “ประเทศ” นำหน้า มีแต่คำว่า สหราชอาณาจักร
อังกฤษ กับ สกอตแลนด์ เสน่ห์ก็คือ มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน และยาวนาน จากสงครามที่ โรเบิร์ต เดอะ บรูซ ร่วมสมัยของวิลเลียม วอลเลซ ในการลุกขึ้นมาต่อต้านและท้าทายกับ อังกฤษ เพื่อเอกราช หรือ The First War of Scottish Independenceที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1296 และกินเวลายาวนานกว่า 32 ปี
300 ปีต่อมา อังกฤษ และสกอตแลนด์ รวมกันเป็นครั้งแรก ภายใต้การปกครองของกษัตริย์พระองค์เดียวในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1603 เป็นการรวมสองอาณาจักร (Union of Crowns) แต่ในทางปฏิบัติแล้วสองอาณาจักรนี้ยังแยกกันอยู่ มีรัฐสภาเป็นของตนเอง
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเนื่องจาก พระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ ไม่มีรัชทายาทสายตรง และตอนนั้น “พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์” มีลำดับการครองราชย์ใกล้เคียงที่สุด จากการที่สืบเชื้อสายมาจาก มากาเร็ต ทิวดอร์ ที่เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 แห่งอังกฤษ ที่อภิเษกสมรสกับพระเจ้าเจมส์ที่ 4 แห่งสกอตแลนด์
ดังนั้นการขึ้นครองบัลลังก์อังกฤษของพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ ถือเป็นการสิ้นสุดลงของราชวงศ์ทิวดอร์ และเป็นการเริ่มต้องของ”ราชวงศ์สจ๊วร์ต”
พร้อมกับพระนามใหม่ว่า “พระเจ้าเจมส์ ที่ 1” และได้ย้ายจากเอดินเบอระ มาประทับที่มหานครลอนดอน และเป็น “King of Great Britain”
ในที่สุดด้วยเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ รัฐบาลสกอตแลนด์ เจอวิกฤติด้านการเงินอย่างรุนแรง ในศตวรรษที่ 17 วิกฤตการณ์ในการไปลงทุนที่ปานามา หรือ “Darien Scheme” กลายเป็นหนึ่งในหายนะที่ใหญ่ที่สุดของสกอตแลนด์ ที่นักประวัติศาสตร์ ระบุว่า เป็นปัจจัยชี้ขาดในการผลักดันรัฐสภาของสกอตแลนด์พร้อมกับนักลงทุนที่ล้มละลายเพื่อเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับอังกฤษในปี 1707
รัฐบาลอังกฤษ โดดเข้าไปช่วย พร้อมกับข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้......พระราชบัญญัติสหภาพ หรือ The Acts of Union เมื่อ 1 พฤษภาคม 1707 ด้วยเงื่อนไขว่าให้ประเทศทั้งสองยุบรวมกันภายใต้ชื่อใหม่ คือ สหราชอาณาจักร (United Kingdom) ในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์(Anne of Great Britain)
ข้อเสนอดังกล่าวได้รับความเห็นชอบโดยรัฐสภาสกอตแลนด์ แต่ตรงกันข้ามกับประชาชนอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ในความซับซ้อนนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ดีของชาวสกอตแลนด์ เพราะด้วยบุคลิกแล้ว ชาวอังกฤษที่มีนิสัยอนุรักษ์นิยมส่วนพวกสกอต ชอบค้นคว้า, วิจัยและสำรวจ
ไม่แปลกใจอะไรเลย เมื่อมีนักปรัชญา, นักพัฒนา, นักคิดชาวสกอต ได้ทิ้งมรดกเอาไว้ให้กับโลกใบนี้มากมาย
สกอตแลนด์ กลายเป็นประเทศที่มีอัตราการรู้หนังสือสูงที่สุดในโลกในช่วงศตวรรษที่ 18-19, เป็นแม่แบบด้านการศึกษา, พัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดในโลกที่สำคัญก็คือ การเป็นนักประดิษฐ์มากมาย อาทิ โทรศัพท์, โทรทัศน์, ยาปฏิชีวนะ รวมถึงการใช้ยางมะตอยมาปูถนน
หรือจะเป็น นิตยสารดังทางเศรษฐกิจ The Economist รวมถึงForbes Magazine นิตยสารจัดอันดับเศรษฐี ก็ตั้งโดยพ่อลูกตระกูลฟอร์บส์ จากสก็อตแลนด์
ด้วยการที่อยู่ด้วยกันมาแบบนี้ อังกฤษ กับ สกอตแลนด์ จึงเป็นคู่ฟุตบอลคู่แรกระดับนานาชาติ
ตั้งแต่ปี 1870-1872 อังกฤษ นัดกับ สกอตแลนด์ เคยเตะกันมา 5 นัด โดยเกมแรกในวันที่ 5 มีนาคม 1870 ภายใต้การริเริ่มของ ชาร์ลส์ วิลเลี่ยม “ซี.ดับบลิว.”อัลค็อก หนุ่มชาวซันเดอร์แลนด์ก่อนจะเสมอกัน 1-1 และเตะกันต่อมาอีก 4 นัด อังกฤษ ชนะ 3 เสมอ 2 ซึ่งทุกเกมเตะที่สนาม “ดิ โอแวล”
แต่พวกสกอต ไม่ขอนับผลการแข่งขันที่ออกมา ก็เพราะสืบเนื่องมาจากมีนักเตะสก็อตฯรังนกแท้ๆ เพียงคนเดียวเท่านั้น!!
จนมาถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 1872 ทั้งสองประเทศตกลงกันได้ และนัดกันมาเตะตรงกับ “วันเซนต์แอนดรูว์” ซึ่งเป็นวันชาติของสกอต หลังจากการประเดิมเอฟเอ คัพ ได้แค่ปีเดียวเท่านั้น
เกมดวลแข้งมีขึ้นที่ “แฮมิลตัน เครสเซนต์” ของสโมสร เวสต์ ออฟ สกอตแลนด์ คริกเก็ต คลับ ที่แพทริค นครกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์
ผู้ตัดสินคือ วิลเลี่ยม เคย์ จากสกอตแลนด์ ลงท้ายเกมคู่นี้จะเสมอกันไป 0-0 มีผู้เข้าร่วมชมเกมทั้งสิ้น 4,000 คน นี่คือเกมที่ถูกบันทึกเอาไว้ว่า เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับชาติครั้งแรกของโลก
ก่อนจะมีการพัฒนาร่วมทั้งทีมชาติ และเอฟเอ คัพ ก้าวไปสู่ระบบลีกในอีก 6 ปีต่อมา
เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า ตกลงใครบ้าบอลกว่ากันระหว่างพวกสกอต กับอังกฤษ แต่ตัวอย่างการจัดฟุตบอลมาจากฝั่งเหนือหลายครั้ง
ฟุตบอล”แชริตี้ ชิลด์” หรือ “คอมมิวนิตี้ ชิลด์” ผู้คิดค้นรายการนี้คือทายาทตระกูลสุราดัง นั่นคือ เซอร์โธมัส เดวาร์ชาวสกอตแลนด์
หรือจะเป็น เซอร์โธมัส จอห์นสโตน ลิปตัน เศรษฐีเจ้าของ “ชาลิปตัน” คนดังก็คือชาวสกอตแลนด์
เขาจัดฟุตบอลระหว่างสองประเทศคือ อุรุกวัย กับ อาร์เจนตินาเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1905 ในชื่อรายการว่า The Copa Lipton รวมถึงจัดศึกฟุตบอลในอิตาลี Lipton Challenge Cup ระหว่าง เนเปิ้ลส์เอฟบีซี กับ ปาแลร์โม่ เอฟบีซี
แต่การจัดฟุตบอลสโมสรข้ามประเทศ ไม่เคยมีใครทำขึ้นมาก่อนเขาจึงจัดฟุตบอลระดับ “สโมสรระหว่างชาติ” เป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อการแข่งขันว่า Sir Thomas Lipton Trophy ในปี 1909ที่นครตูริน ประเทศอิตาลี
นักบอลจากแดนวิสกี้ ก็หลั่งไหลเข้ามาอยู่ในอังกฤษ และบุคลากรชั้นนำ ก็มาอยู่ที่นี่ยอดกุนซืออย่าง เซอร์แมตต์ บัสบี้, บิลล์ แชงคลี่ย์ เรื่อยมาจนถึง เคนนี่ ดัลกลิช และเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ทีมฟุตบอล กลาสโกว เซลติก จากสกอต ก็ได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ เป็นทีมแรกของเกาะอังกฤษ
ยุคดิวิชั่น 1 ครั้งสุดท้าย ปี 1992 ลีดส์ ครองแชมป์ด้วยแกนหลักเลือดวิสกี้ทั้ง กอร์ดอน สตรั๊คคั่น และแกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ แต่คนอังกฤษบอกว่า อย่าลืมคนคุมทีมคือ ฮาวเวิร์ด วิลกินสัน คือเมืองผู้ดี
อย่างไรก็ตาม พอเข้าสู่ยุคพรีเมียร์ลีกแม้คนสกอตจะยังคงผงาดอยู่ยาวนานนั่นก็คือ เซอร์เฟอร์กี้ แต่วงการลูกหนังกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
อังกฤษพุ่งพรวดหยุดไม่อยู่และเป็นลีกเบอร์ 1 ของโลกในเรื่องมูลค่า ส่วน สกอตติช ลีก ย่ำแย่และไม่ไปไหน ไม่ได้ท้าทายได้เหมือนยุคต้นทศวรรษที่ 90 ที่มีแนวคิดถึงขั้นที่ว่า จะนำเอา กลาสโกว เซลติก กับ กลาสโกว เรนเจอร์ส มาร่วมลีกเมืองผู้ดีกันเลยทีเดียว
จนถึงปี 1999 รัฐบาลอังกฤษ เริ่มที่จะผ่อนปรนแก้ไขกฎหมายให้ สกอตแลนด์ ปกครองตนเองได้ ด้วยความใจกว้าง หรือไม่ต้องการที่จะเป็น “เดอะ แบก” อีกต่อไปก็ไม่ทราบ กลายเป็นการจุดชนวนให้ เกิดการเรียกร้องออกไปเป็นเอกราช พร้อมกับมีการ “หยั่งเสียง” ประชามติเมื่อปี 2014
ซึ่งคนสกอตติชบางกลุ่ม ต้องการที่จะไป นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกเขาสร้างอะไรไว้มากมาย แล้วทำไมจึงเป็น “ประเทศ” จึงเป็น“เอกราช” เองไม่ได้
แต่สุดท้ายเสียงส่วนใหญ่โหวตโน จะขออยู่ต่อ
ความซับซ้อนไปมาไปทั่วทั้งแผ่นดินนี้ จะอยู่จะไปจะยังไงกันดีแต่มาถึงวันนี้ นิโคลา สเตอร์เจียน มุขมนตรีแห่งสกอตแลนด์ ก็ยังยืนยันว่า ต้องการจะแยกออกไป ยิ่งเรื่องของเบรคซิต ยิ่งเป็นยาเร่งชั้นดี
ทุกยุคทุกสมัย สกอตแลนด์ ยืนเบียดและต้องการแยกจากอังกฤษมาตลอด พวกเขาแสดงออกทุกครั้งที่มีโอกาส
ภาพแฟนบอลลงไปฉลองที่เวมบลีย์ หลังจากชัยชนะในศึกโฮม บริติช แชมเปี้ยนชิพ ยังเป็นหนึ่งใน “ภาพความทรงจำ” ของโลกฟุตบอล ในยุค 70 ที่ตอกย้ำว่า พวกเขาดีกว่าอังกฤษ
ทำให้เกมนัดนี้ที่นิว เวมบลีย์ ยิ่งส่งแรงยิ่งมีความหมาย เพราะถ้าพลาดอีกครั้ง สกอตแลนด์ อาจจะต้องอยู่ในวนเวียนอาถรรพ์ตกรอบแรกทุกรายการในทัวร์ใหญ่ที่ได้แข่ง
การส่งภาพเบื้องหลังออกผ่านทาง “กีฬา” กับมหกรรมต่างๆ เริ่มมีมากขึ้น และนี่คือโอกาสที่ดีที่สุดอีกครั้งของพวกเขา โดยเฉพาะ สกอตแลนด์ ที่ต้องการประกาสอิสรภาพของพวกเขาในทุกวาระ
ประเด็นคือมองเหลี่ยมไหนมันก็ยาก ถึงยากที่สุด
ที่จะยาตราทัพเหยียบจมูกอังกฤษถึงที่..............
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี