ดวงตา...หนึ่งในอวัยวะที่ช่วยในการรับสัมผัสในเรื่องของการมองเห็นซึ่งถือว่าเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งของมนุษย์ในปัจจุบันมีหลายสาเหตุที่ทำให้มนุษย์มีความบกพร่องในการมองเห็น รวมไปถึงการสูญเสียการมองเห็น ในอัตราที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องด้วยปัจจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลภาวะ การใช้งานดวงตาที่หนักหนาจนเกินไปจากการจ้องหน้าจอโทรศัพท์ แท็บเลต หรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน รวมถึงปัญหาด้านพันธุกรรมของแต่ละบุคคลอีกด้วย
ในวันนี้ วว.ได้นำความรู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ ที่มีผลกระทบทำให้ดวงตาของเรามีความบกพร่องในการทำงาน จนอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ หากเราไม่รู้อาการของโรค ไม่รู้ตัวว่าเริ่มเกิดอาการผิดปกติทางดวงตาของเราแล้ว และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรง จนทำให้สูญเสียการมองเห็นได้...โดยในวันนี้เราจะนำความรู้เกี่ยวกับโรคทางดวงตาที่พบได้บ่อยมากฝากกันค่ะ
ต้อลม (Pinguecula) และต้อเนื้อ (Pterygium)
เป็นกลุ่มโรคเดียวกัน เพราะต้อลมคือ ระยะเริ่มต้นของต้อเนื้อ ลักษณะของต้อลมคือ มีลักษณะนูนๆ สีขาว เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของชั้นใต้เยื่อตาขาว มักเกิดได้ทั้งบริเวณหัวตา และหางตา แต่ยังไม่ลุกลามเข้าไปที่ตาดำ แต่หากเป็นมากขึ้นการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุตาจะลามเข้าไปในตาดำ จนกลายเป็นแผ่นเนื้อสีแดง เรียกว่า “ต้อเนื้อ” สาเหตุเกิดจากกรรมพันธุ์ และรังสี UV อาการคือระคายเคืองเรื้อรังจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น แสงแดด ซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเลต ฝุ่นละออง ควัน
ผู้ที่ต้องทำงานกลางแดด เช่น ชาวไร่ ชาวสวน ชาวประมงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ วิธีป้องกันคือ หลีกเลี่ยงแสงแดดฝุ่นละออง ควัน สวมแว่นกันแดดที่ได้มาตรฐานซึ่งสามารถป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตได้
ต้อหิน (Glaucoma)
โดยปกติโรคต้อหินจะไม่แสดงสัญญาณ หรืออาการบ่งชี้ใดๆ ในระยะแรก จนกว่าผู้ป่วยจะรู้สึกตัวมักสูญเสียการมองเห็นไปมากแล้ว สาเหตุการเกิดโรคต้อหิน เช่น การหยอดยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน หรืออุบัติเหตุที่เกิดกับดวงตา ความดันลูกตาสูง พันธุกรรม
ต้อกระจก (Cataract)
เป็นโรคตาที่เป็นสาเหตุของการตาบอดมากที่สุดในประเทศไทย เกิดจากความเสื่อมของเลนส์แก้วตาตามธรรมชาติ ทำให้เลนส์ขุ่นแสงจึงผ่านเลนส์เข้าไปยังจอประสาทตาได้น้อยลง หรือทำให้เกิดการหักเหแสงที่ผิดปกติไปโฟกัสผิดที่ ผู้ป่วยจึงมีสายตาพร่ามัว มักพบในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ตาขี้เกียจ (Amblyopia)
ทำให้การมองเห็นภาพลดลง เป็นผลจากความผิดปกติของพัฒนาการของการมองเห็นในทารกหรือช่วงวัยเด็ก สายตาขี้เกียจเกิดจากการขนส่งกระแสรับภาพระหว่างตาและสมองทำงานไม่เต็มที่ ทำให้สมองรับภาพจากตาเพียงข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้าง หรือสมองเพิกเฉยต่อการรับภาพของตาข้างที่ด้อยกว่า ทำให้การมองเห็นของตาข้างนั้นลดลงสายตาขี้เกียจมักเกิดในเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6-7 ปี หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา จะทำให้ตามัว การมองเห็นลดลงอย่างถาวร อาการของตาขี้เกียจ คือ ตาเข ตาสองข้างไม่ทำงานประสานกัน มีสายตาสั้น ยาว เอียงที่มากเกินไป หรือไม่เท่ากันระหว่างตา 2 ข้าง มองภาพไม่ชัด โดยเฉพาะภาพที่มีความละเอียดสูง
สาเหตุของสายตาขี้เกียจ ได้แก่
-การทำงานของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหวดวงตาทำงานไม่สมดุลกัน
-การเบี่ยงเบนสายตามาใช้ตาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง เช่น มีการติดเชื้อหรือเป็นต้อกระจกบริเวณตาข้างขวา ทำให้ใช้เพียงตาข้างซ้ายในการมองเห็น
-มีสายตายาว สั้น หรือเอียงทั้งสองข้างมากเกินไป หรือไม่เท่ากันทั้งสองข้าง
-ความบกพร่องของอวัยวะรับภาพ หรือแปลผลภาพ เช่น เส้นประสาทตาฝ่อ แผลบริเวณจุดรับภาพในจอตา และการเสียหายของสมองส่วนที่แปลภาพจากการขาดออกซิเจน
วุ้นในตาเสื่อม
โดยปกติแล้วภาวะวุ้นในลูกตาเสื่อมมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุมากตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันพบว่าภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นกับหนุ่มสาวคนทำงานออฟฟิศมากขึ้น จากพฤติกรรมการใช้หน้าจอมากเกินไปถือเป็นอีกหนึ่งโรคที่ควรทำความเข้าใจ เพื่อปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม
ปกติแล้วไม่ทราบแน่ชัดว่าวุ้นลูกตามีหน้าที่อะไร เมื่อเกิดการเสื่อมจึงไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมากนัก แต่ถ้าหากเสื่อมมากวุ้นตาจะจับตัวกันเป็นก้อน ทำให้ส่วนที่ใสๆ เกิดเป็นฝ้า เมื่อมีแสงเข้ามาเยอะๆ จะเกิดเป็นเงาตกไปที่จอประสาทตา และเกิดเป็นจุดดำข้างใน หากวุ้นตากลายเป็นน้ำจุดดำจะลอยไปลอยมา และมักเห็นในที่ที่สว่างมากๆ หรือเมื่อมีแสงเข้ามาเยอะๆ จนทำให้เกิดเงาขึ้น แต่ในที่มืดจะมองไม่เห็นจุดดำที่ว่าเพราะไม่เกิดเงาที่จอประสาทตา บางครั้งอาจเกิดการดึงจอประสาทตา ทำให้เหมือนมีแสงแวบขึ้นมาคล้ายแฟลช และมักเห็นในที่มืด ปัญหาคืออาจทำให้เกิดการฉีกขาดของจอประสาทตาได้ ทำให้น้ำที่เกิดจากการเสื่อมของวุ้นไหลผ่านเข้าไปทางรอยฉีกขาด ทำให้จอประสาทตาลอก และส่วนที่ลอกจะเกิดการมองไม่เห็น คนไข้จะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบังตาไว้ และส่วนที่มองไม่เห็นนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.paolohospital.com
https://www.bangkokhospital.com
https://www.rama.mahidol.ac.th
กัลยา จงรัตนชูชัย
กองประชาสัมพันธ์
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี