แชมป์ยิ่งกว่าแชมป์ของ เดนมาร์ก
ยูโร 2020 เดินทางมาเหลืออยู่ 4 ทีมสุดท้ายที่เป็นสุดยอดทีมแห่งทวีป
หากจะว่ากันถึงตำนานการเป็นแชมป์มหัศจรรย์ในยูโรมีทั้งหมด 3 ชาติ ที่ทำได้คือ เชโกสโลวาเกีย ในปี 1976, เดนมาร์ก ปี 1992 และกรีซ ปี 2004
แต่ที่สะท้านทรวงและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดคงไม่พ้น เดนมาร์ก กับตำนาน “เทพนิยายเดนส์” ที่เกิดขึ้นในปี 1992 ที่ประเทศสวีเดน เป็นเจ้าภาพ
ยูโรครั้งดังกล่าว ถือเป็นการดวลแข้งครั้งที่ 9 และถือเป็น “ก้าวใหม่”
ถือเป็น “ก้าวต่อไป” ของโลกใบนี้อีกด้วย!
.............ฟุตบอลยูโร มีเอกลักษณ์ มีอัตลักษณ์ในตัวของเขาเอง มีเรื่องของสายเลือด เรื่องของแผ่นดิน เรื่องของอดีตมาเกี่ยวพันอยู่เสมอ
เป็นฟุตบอลที่มีการสอดแทรกทางการเมืองเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา
มันเริ่มเกิดขึ้นในปี 1992 ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาล
เหตุผลกลหลัก สืบเนื่องมาจาก การล่มสลายของมหาอำนาจเดิมอย่าง สหภาพโซเวียต ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการแข่งขันครั้งนั้นอย่างเต็มแรงเรียม
สวีเดน คว้าสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพ และมีการคัดเลือกนำ 7 ชาติเข้ามาเล่นรอบสุดท้าย ทุกอย่างไม่มีปัญหา เมื่อมีการคัดเลือกกันเรียบร้อยได้ครบ 8 ทีมตามขั้นตอน
กลุ่ม เอ สวีเดน, ฝรั่งเศส, อังกฤษ และยูโกสลาเวีย
กลุ่ม บี เยอรมนี, สกอตแลนด์, เนเธอร์แลนด์ และสหภาพโซเวียต
ฟุตบอลยูโร 1992 ส่อเค้าว่าจะมีปัญหา มาจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1991 ยังผลให้เกิดผลข้างเคียงที่ตามมา และถือว่าหนักหน่วงมากๆ
หลังจากมีการตกลงกันพักใหญ่ สหภาพโซเวียต(เดิม) จึงมาในฐานะของ เครือรัฐเอกราช หรือ “ซีไอเอส(CIS) ซึ่งเป็นกลุ่ม 12 ประเทศเอกราช ที่ตั้งขึ้นหลังจากการล่มสลาย
ไบรอัน เลาดรุ๊ป ปรับความเข้าใจกับโค้ชก่อนเถลิงแชมป์
12 ชาติประกอบด้วย อาร์เมเนีย, อาเซอร์ไบจาน, เบลารุส,จอร์เจีย, คาซัคสถาน, คีร์กิสถาน, มอลโดวา, ทาจิกิสถาน,เติร์กเมนิสถาน, ยูเครน, อุซเบกิสถาน และรัสเซีย ส่วนอีก 3 ชาติที่ไม่ได้มาเตะร่วมด้วยคือ เอสโตเนีย, ลัตเวีย และลิทัวเนีย
พวกเขาตกรอบแรก และทีมถูกยุบหลังจบศึกยูโรหนนี้นั่นเอง
แต่กรณีสาหัสและหนักที่สุดก็คือ ยูโกสลาเวีย ที่ไม่มีความชัดเจน ซึ่ง ยูฟ่า ก็รอคอยจนหยดสุดท้าย กระทั่งลงมติกันว่า ตัดสิทธิ์เข้าร่วมตามคำสั่งของสหประชาชาติ 10 วันก่อนการแข่งขัน
อันเนื่องมาจากสงครามแบ่งแยกดินแดน
จากเดิมภายหลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 ปี 1918 นั่นก็คือ ราชอาณาจักรแห่งสโลวีน โครแอต และเซิร์บ State of Slovenes, Croats and Serbs มาเป็น ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย ที่โด่งดัง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อยมาเป็น สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย โดยระบบสังคมนิยมกึ่งทุนนิยมของพวกเขานั้น ก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบ หรือต้องการเท่าไหร่กับพี่เอื้อยใหญ่อย่าง สหภาพโซเวียต
ในครานั้น สาธารณรัฐ 2 แห่งของยูโกสลาเวีย คือ สลาโวเนีย (สโลวีเนีย) และโครเอเชีย เริ่มประกาศอิสรภาพ ตามติดมาด้วย สาธารณรัฐ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ที่ประกาศว่า ต้องการเอกราชแยกตัวออกจากรัฐบาลกลางของยูโกสลาเวีย
ในทางกลับกัน สาธารณรัฐเซอร์เบีย มีความประสงค์ที่จะให้ทุกสาธารณรัฐยังเป็น “ประเทศยูโกสลาเวีย”
กลายเป็น “สงคราม” ระหว่างเซอร์เบียกับสาธารณรัฐเหล่านั้น ค.ศ.1992 ทั้งที่เป็นปึกแผ่นมากว่า 70 ปี
เรียกว่า ยูโกสลาฟ วอร์
เราบอกได้เลยว่า สงครามครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 อย่างด้วยกัน และเป็น 2 อย่างที่รุนแรงมาก
1.“สงครามแห่งเผ่าพันธุ์” เพราะในยูโกสลาเวีย มีคน 3 เผ่าพันธุ์เป็นหลักคือ เซิร์บ, บอสเนีย และโครแอต
2.“สงครามแห่งศาสนา” ก็ว่าได้เหมือนกัน เนื่องจากชาวเซิร์บ เป็นโปรเตสแตนท์, พวกโครแอต เป็น คาทอลิก และบอสเนีย รวมถึงโคโซโว เป็น มุสลิม เป็นต้น
แน่นอนว่า ทุกอย่างได้ส่งผลให้สงครามมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากๆ เพราะเป็นการปะทะกันระหว่าง เซิร์บ กับ ฝ่ายหนึ่งของโครแอต และฝ่ายหนึ่งของบอสเนีย
ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น กุนซือผู้สร้างเทพนิยายเดนส์
อีกทางหนึ่งก็เป็นการสู้กันของพวกบอสนิค กับ โครแอต ในบอสเนีย แถมกลุ่มบอสนิคก็ทะเลาะกันเองในบอสเนีย อีกต่างหาก
ลงท้าย 6 สาธารณรัฐของยูโกสลาเวีย ประกอบด้วย บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีน่า, สโลวีเนีย, โครเอเชีย, เซอร์เบีย, มอนเตเนโกรและมาซิโดเนีย แยกตัวออกมา
รวมไปถึงมณฑลอิสระอย่าง โคโซโว และวอยโวดีนา ซึ่งเป็นมณฑลปกครองตนเอง
สงครามนี้กินระยะเวลานานตั้งแต่ปี 1991-1999
ยูโกสลาเวีย ถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันเพียง 10 วัน เท่ากับงานของ ยูฟ่า ก็งอกทันที เพราะต้องไปตาม เดนมาร์ก ที่ได้รองแชมป์กลุ่ม D ในรอบคัดเลือกที่อยู่สายเดียวกันกับยูโกสลาเวีย มาแข่งขันแทน ซึ่งตอนนั้น นักเตะกระจัดกระจายไปพักร้อนกันหมดแล้ว
“ริคาร์ด” ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น กุนซือเดนมาร์ก เร่งฮัลโหลโทรหานักฟุตบอลของเขา ก่อนจะได้รับคำตอบรับและปฏิเสธ
หนึ่งในนั้นที่ปฏิเสธคือ ไมเคิล เลาดรุ๊ป ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ริคาร์ด ซึ่งไม่ชอบในสไตล์การทำงาน แต่น้องชายของเขาคือไบรอัน เลาดรุ๊ป ที่ไม่ถูกกับ ริคาร์ด เช่นกัน แต่เขาตัดสินไม่เหมือนกับพี่ชาย
ไบรอัน ตัดสินใจเข้าร่วมการดวลแข้งและบินด่วนกลับจากสหรัฐอเมริกาทันที
ขณะที่ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล นายประตูแมนฯยูไนเต็ด ที่มาเล่นปีแรกก็ไม่ได้เด่นดังอะไร บอกว่า เขากำลังซ้อมอยู่กับ บรอนด์บี้ ทีมเก่าที่บ้านเกิด ก่อนจะเตรียมไปพักร้อน แต่เมื่อได้รับสารจากริคาร์ด ก็รีบตอบรับในทันที
สรุปคือ เดนมาร์ก รู้ตัวก่อนแข่งขันเพียง 10 วัน ก่อนที่จะร่วมกันซ้อมเพียง 7 วัน และเข้าแข่งขันแบบ “รวมใจกัน”
ส่วนผลงานนั้นเป็นเรื่องของวาสนา
ยูโร1992 รอบสุดท้ายยุคนั้น มีทั้งหมด 8 ทีม
การได้มาเล่นก็เพราะว่า ในรอบคัดเลือก เดนมาร์ก อยู่กลุ่มD ร่วมกับ ยูโกสลาเวีย, ไอร์แลนด์เหนือ, ออสเตรีย และหมู่เกาะแฟโรว์
แข่ง 8 ชนะ 6 เสมอ 1 แพ้ 1 แพ้ ยูโกสลาเวีย แต้มเดียว
จึงได้มาในฐานะของรองแชมป์กลุ่ม
...........ในการเตะรอบสุดท้าย รอบแรกทีมโคนม เปิดหัวด้วยการเสมออังกฤษ 0-0 ตามด้วยพ่ายสวีเดนเจ้าภาพ 0-1 แต่ชัยชนะ เหนือฝรั่งเศส 2-1 ในนัดสุดท้าย ก็เพียงพอต่อการเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปเจอศึกหนักกับ “แชมป์เก่า” เนเธอร์แลนด์ ที่มีสามทหารเสือนำทัพ ซึ่งเดนมาร์ก หักปากกาเซียน ยันเสมอทีมอัศวินสีส้ม 2-2 ใน 120 นาที ก่อนที่ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล รับบทฮีโร่เซฟจุดโทษของมาร์โก แวน บาสเท่น พาทีมเข้าชิงอย่างเหลือเชื่อ
ถือว่าเหลือเชื่อมาก พวกดัทช์ มีทั้ง แยน วูเตอร์ส กับ แฟรงค์ ไรจ์การ์ท ยืนกลาง, โรนัลด์ คูมัน กับ เอดี้ แวน ทิจเกเล่น ยืนหลัง และแฟรงค์ เดอ บัวร์ กุนซือคนปัจจุบันของดัทช์ กำลังเป็นดาวรุ่ง
แนวรุก รุด กุลลิท, เดนนิส เบิร์กแคมป์, ไบรอัน รอย,ริชาร์ด วิชเก้ และมาร์โก้ แวน บาสเท่น
เตะไป 70 นาที เฮนริค อันเดอร์เซ่น จากโคโลญจน์ เข่าปูดน่ากลัวมาก
วันนั้นเดนมาร์ก ยืนแผน 4-4-2
รอบชิงชนะเลิศ เดนมาร์ก เจอกับ เยอรมนี ทีมแชมป์โลกปี 1990 ในยุครวมชาติ เดนมาร์ก ปรับมาเล่นกองหลัง 5 คน
ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล เป็นประตู ทอร์เบน พีชนิค ยืนเซ็นเตอร์กับ ลาร์ส โอลเซ่น และเอา เคนท์ นีลเซ่น มายืนอีกคน
คิม วิลฟอร์ด สังหารประตูเด็ดปีก เยอรมนี
แบ๊กสองฝั่ง จอห์น ซีเวเบ๊ค กับ คิม คริสตอฟเต้
กองกลาง คิม วิลฟอร์ด, ยอห์น แยนเซ่น สองดาวเตะจากบรอนด์บี้เป็นตัวรับ และเฮนริค ลาร์เซ่น เป็นตัวรุก
ตัวฟรีคือ ไบรอัน เลาดรุ๊ป และ เฟลมมิ่ง โพลเซ่น ยืนหน้าเป้า
เยอรมนี แข้งจากชุดแชมป์โลกหลายคน กองหลัง 4 จาก 5 ทั้ง สเตฟาน รอยเตอร์, เจอร์เก้น โคห์เลอร์, กีโด บุ๊ควัลด์ และอันเดรียส์ เบรเม่ห์ โดยที่ โธมัส เฮลเมอร์ แทนที่ “ไอ้บ้านนอก” เคลาส์ เอาเก้นทาลเลอร์
กองกลางตอนนั้นแกร่งมาก มัทธีอัส ซามเมอร์ เล่นกับสเตฟาน เอฟเฟ่นแบร์ก และโธมัส เฮสเลอร์ ส่วนกองหน้าเป็น2 ฉลาม นั่นคือ “ฉลามขาว” เจอร์เก้น คลินส์มันน์ กับ “ฉลามล้อคลื่น” คาร์ลไฮนซ์ รีดเล่
ปรากฏว่า เดนมาร์ก พลิกล็อกเอาชนะทีมอินทรีเหล็ก 2-0 โดยได้ประตูจาก ยอห์น แยนเซ่น และ คิม วิลฟอร์ท ทำให้เดนมาร์ก สร้างเทพนิยายเดนส์ คว้าแชมป์ยูโร 1992 แบบพลิกล็อกช็อกคนทั้งโลก
ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น กุนซือที่เป็นผู้ช่วยทีมชุดใหญ่ 4 ปีและไม่เป็นที่ชื่นชอบของสมาคมฟุตบอลของตัวเอง เนื่องจากเป็นคนหัวรั้น เขาคุมทีมฟุตซอลทีมชาติ เข้ามารับงานในปี 1990 พาทีมจารึกประวัติศาสตร์ได้แบบไม่มีใครอยากจะเชื่อ
แม้แต่ตัวของนักฟุตบอลเองก็ตาม เพราะส่วนใหญ่ มั่นใจว่า ซ้อมแค่ไม่กี่วัน ยังไงก็ต้องตกรอบแรก
ในระหว่างนั้นเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวาย นักบอลทะเลาะกันเอง, สมาคมฟุตบอลเปลี่ยนตัวผู้บริหาร รวมถึงการต้องออกจากค่ายของ วิลฟอร์ด ไม่ได้เล่นรอบแรกนัดสุดท้าย เนื่องจากลูกสาวป่วย ก่อนจะกลับมาเล่น จนเป็นฮีโร่ในนัดชิงชนะเลิศ
จบเกมนั้นพวกเขาได้งานใหม่กันหลายคน ทอร์เบน พีชนิค กับ ยอห์น แยนเซ่น มาเล่นในอังกฤษ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่มีใครลืมผลงานของพวกเขาในยูโร 1992
ด้วยปฐมบทตำนานโลกใบนี้ แล้วสุดท้ายตำนานก็เกิดขึ้น เดนมาร์ก เป็นแชมป์ยูโร 1992 ได้สำเร็จ แบบโลกตะลึง
กลายเป็นที่สุดแห่งตำนานไม่ใช่ม้ามืด พวกเขาเป็นม้านอกสายตา เป็นม้าไม่มีราคา จนกลายมาเป็น ตำนานเทพนิยาย
เพราะเป้าหมายของทัพ “โคนม” ก็มีเพียงแค่ “ทำให้ดีที่สุด” เท่านั้น
โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์อย่างอื่น
ไม่มีเวลาเก็บตัว และที่สำคัญก็คือ แทบจะไม่มีเวลาแม้กระทั่ง “วางแผน” ด้วยซ้ำไป
หากจะนับกันกับ 3 จอมพลิกล็อกแล้ว ต้องยอมรับว่า เดนมาร์ก น่าจะเหลือเชื่ออย่างที่สุด เพราะตกรอบคัดเลือกไปแล้วแท้ๆ แต่ยังกลับมาได้
ส่วนแชมป์ปีนี้จะเป็นของใคร หาใช่แค่ฝีเท้า
ก็ต้องมีผลบุญหนุนนำอีกด้วย..................
บี แหลมสิงห์
รายชื่อนักเตะเดนมาร์ก ชุด‘เทพนิยาย’
1.ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล
2.ยอห์น ซิเวเบ๊ค
3.เคนท์ นีลเซ่น
4.ลาร์ส โอลเซ่น
5.เฮนริค แอนเดอร์สัน
6.คิม คริสตอฟเต้
7.ยอห์น แยนเซ่น
8.ยอห์นนี่ โมลบี้
9.เฟลมมิ่ง โพลเซ่น
10.ลาร์ส เอลส์ทรู๊ป
11.ไบรอัน เลาดรุ๊ป
12.ทอร์เบน พิชนิค
13.เฮนริค ลาร์เซ่น
14.ทอร์เบน แฟรงค์
15.เบนท์ คริสเตนเซ่น อเรนโซ่
16.มอร์เกนส์ โครห์จ
17.เคลาส์ คริสเตียนเซ่น
18.คิม วิลฟอร์ด
19.ปีเตอร์ นีลเซ่น
20.มอร์เท่น บรุน
ผู้จัดการทีม : ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี