ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ยอดนักเตะที่ยิ่งใหญ่คับโลกกว่า 10 ปีที่ผ่านมาทั้ง ลีโอเนล เมสซี่ และคริสติอาโน่ โรนัลโด้
จะย้ายทีมพร้อมกันในซัมเมอร์เดียว!!!
แล้วสตอรี่นี้ก็เกิดขึ้น เมื่อ โรนัลโด้ เดินตามรอย เมสซี่ แบบไม่น่าจะตั้งใจและเจตนาให้ละม้ายคล้ายเหมือน เมื่อเขากลับมาอยู่กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบพลิกล็อกสุดๆ ทั้งที่กระแสข่าวเทมาฝั่ง “สีฟ้า” ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จนหมดสิ้น..........
เรื่องราวนี้จะถูกบันทึกเอาไว้ในความทรงจำตลอดกาล เมื่อ เมสซี่เดินหน้าไปลุยกับสหายเก่าอย่าง เนย์มาร์ ที่ปารีส
ขณะที่ โรนัลโด้ เดินทางครั้งสำคัญและน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการกลับมายังโอลด์ แทรฟฟอร์ด!!!
สำหรับ โรนัลโด้เป็นโกไลแอธในเชิงพาณิชย์ ข่าวของเขาชิงพื้นที่ทุกแพลตฟอร์มได้แบบฉีกกระดาษกินขาดสุดๆ ไม่แปลกใจที่ทุกอย่างพุ่งทะยานอีกครั้ง
หุ้นของสโมสรเพิ่มขึ้น 9% เป็นผลให้มูลค่าของสโมสรเพิ่มขึ้นประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก
เดือดดีแท้!!!!
‘โด้’เมื่อครั้งยังyoung
12.24 ล้านปอนด์ ทำให้ยังแมน วัย 18 ปี จากสปอร์ติ้ง ลิสบอน ได้มาอยู่ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
วีรกรรมสมัยยุคแรกเกิดขึ้นมามาย โด้ ต้องแบกภาระการเป็นตัวแทนของ เดวิด เบ๊คแฮม ที่ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด หลายคนมองไอ้หนุ่มจากลิสบอน เป็นตัวตลกมากกว่ายอดนักเตะ
หน้าตาอาจจะหล่อเหลาไม่น้อยกว่า หนุ่มเบ๊คส์ แต่การเปิดบอลคนละเรื่อง และสไตล์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เบ๊คแฮม แม่นยำด้วยการเป็นปีกที่ไม่ได้เลี้ยงบอลเก่ง แต่ทักษะการเปิดบอลที่หาตัวจับยาก มีความแน่นอน และฟรีคิกแม่นกว่า ไมเคิ่ล โอเว่น ยิงจุดโทษ
โด้ สับแล้วสับอีก สับจนเพื่อนเสียจังหวะ แต่สุดท้ายการสับของเขาสัมฤทธิผลในอีก 2 ปีต่อมา เรียกว่า สับจนได้ดี
รุด ฟาน นิสเตลรอย ถึงขั้นเคยตำหนิ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ว่าควรจะไปอยู่ในคณะละครสัตว์มากกว่า จากการที่ไม่ยอมผ่านบอลให้ในระหว่างการซ้อมที่ โด้ มาในช่วงแรก
จากนั้นในปี 2006 รุด ไปด่ากราด โด้ อีกครั้งในสนามซ้อม และมีการพาดพิงคำว่า “พ่อ” ซึ่งตอนนั้น โด้เพิ่งเสียพ่อไป ทำให้เขาร้องไห้ สุดท้าย เซอร์เฟอร์กี้ ตัดสินใจขาย รุด ทิ้งไปในซัมเมอร์นั้นทันที
ในช่วงเวลาดังกล่าว หลังจากฟุตบอลโลก 2006 จบลง เป็นการทดสอบหัวใจของเขาอีกครั้ง เมื่อถูกขู่ฆ่าถูกโห่ไล่จากทุกสนามที่ไปแข่งขัน เพราะเขาเป็นตัวจักรสำคัญของ โปรตุเกส ที่เขี่ย อังกฤษ ตกรอบ 8 ทีม แถมมีส่วนสำคัญในการกดดันกรรมการให้ไล่ เวย์น รูนี่ย์ เพื่อนร่วมทีมออกจากสนาม และถูกจับภาพได้ว่า กะพริบตาให้กล้อง
เขาผ่านจุดนั้นมาได้ เช่นเดียวกับที่ เบ๊คแฮม เคยเจอในปี 1998 และพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาจนสามารถเล่นได้ดีทั้งลูกฟรีคิกที่คนละแบบกับ เบ๊คแฮม มันไม่ได้โค้งแบบหนุ่มเบ๊คส์ แต่มันทรงพลังและยิ่งไกลยิ่งพุ่งแรง
อีกทั้งทักษะการเล่นฟุตบอลดีอยู่แล้ว เขาพัฒนาการลากเลื้อยให้ได้ประโยชน์ยิ่งขึ้น ก่อนจะยกระดับฝีเท้าให้กลายเป็นนักบอลที่เล่นได้ทุกจุดในเกมรุก กระทั่ง เรอัล มาดริด ยื่นข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้ นั่นคือสถิติโลก 80 ล้านปอนด์
หลังจากยื้อเอาไว้ได้ถึง 2 ฤดูกาล ในท้ายที่สุด เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำตามสัญญาที่ตัวเองเคยลั่นวาจาว่า ถ้าราคา 80 ล้านปอนด์ เขาจะขายโรนัลโด้ ปรากฏว่า ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่ได้รับเลือกเป็นประธานของ เรอัล มาดริด เมื่อ 2 มิถุนายน 2009 กล้าและบ้าพอที่จะจ่าย
ปิดตำนานการเล่นใหกับยูไนเต็ด รวมทั้งสิ้น 6 ซีซั่น ตั้งแต่ปี 2003-2009 รวม 292 นัด ยิงได้ 118 ประตู และ 69 แอสซิสต์ ครองแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย และสโมสรโลก 1 สมัย กับรางวัลสำคัญคือ “บัลลงดอร์” ปี 2008
ท่องโลกยุทธจักร 12 ปี
โด้ ออกไปแตะขอบฟ้า และไปเล่นกับทีมที่เขาปรารถนาจะลงสนามตั้งแต่เด็กอย่าง เรอัล มาดริด ที่นี่ทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่างเต็มตัว เหมือนแปลงร่างไปอีกขั้น และแปลงร่างไปเรื่อยๆเขาทำให้มูลค่าของตัวเขา ทำให่มูลค่าของ ลา ลีกา สูงลิบ
เอล กลาซิโก้ ร้อนเป็นไฟ เมื่อเขาดวลกับ ลีโอเนล เมสซี่
โด้ ได้รางวัลส่วนตัวมากมาย โดยเฉพาะเขากวาดบัลลงดอร์ แบบเบียดกันไหล่ต่อไหล่กับ เมสซี่ ถึง 4 สมัย ในปี 2013, 2014, 2016 และ 2017
นำทัพ “ราชันชุดขาว” ครองแชมป์ลา ลีกา 2 สมัย, โคปา เดอ เรย์ 2 สมัย, ซูเปอร์ คัพ 2 สมัย, สโมสรโลก 3 สมัย และเหนือสิ่งอื่นใดคือ การครองถ้วยยุโรป หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถึง 4 สมัย และเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ในยุคใหม่ที่ป้องกันแชมป์ได้ แถมได้แชมป์ 3 สมัยซ้อนๆ
กับทีมชาติโปรตุเกส เขาถึงฝั่งฝันด้วยการเป็นกัปตันนำทัพ พร้อมกับเสมือนกับผู้เล่น-ผู้จัดการทีม ในนัดชิงชนะเลิศยูโร 2016 ก่อนที่ “ฝอยทองผยองเดช” จะดับ ฝรั่งเศส คาแซงต์ เดนีส์ 1-0
9 ฤดูกาลในสเปน เขาเต็มอิ่มแบบสุดๆ กับการลงสมนามให้กับ เรอัล มาดริด ทุกรายการ 438 นัด ซัดไปถึง 450 ประตู และเลือกเดินทางครั้งใหม่ ด้วยการย้ายไป ยูเวนตุส ด้วยค่าตัว 88 ล้านปอนด์ ในวัย 33 ปี เป็นนักบอลอายุเกิน 30 ปีที่แพงที่สุดในโลก
การตอบรับสุดยอด เมื่อแฟนบอลแห่ซื้อเสื้อของเขามากมายถึง 800,000 ตัว และเขาได้แชมป์ เซเรีย อา 2 สมัยกับ โคปา อิตาเลีย 1 สมัย และยังนำทีมชาติได้แชมป์เนชั่นส์ ลีก เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2019
กระทั่งมีข่าวที่ชัดเจนว่า เขาต้องการย้ายจากอิตาลี และขอปิดตำนานที่แดนมะกะโรนี แต่เพียงเท่านี้ 3 ปีที่ลงเล่นให้ ยูเวนตุส 134 นัดยิง 101 ประตู
กว่าจะได้กลับบ้าน
กระแสการย้ายทีมแรงออกไป และมีข่าวที่ ยูเว่ ต้องการเงิน 25-30 ล้านยูโร เพื่อเป็นค่าตัวของโด้ ทั้งหมดเกิดขึ้นมาจากการต้องการของทุกฝ่าย
โด้ ต้องการแสวงหาที่ใหม่ๆ อีกครั้ง และน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายในอาชีพการเล่นด้วยวัย 36 ปี ขณะที่ ยูเว่ ก็ต้องการได้เงินสักก้อนจากโด้ อีกทั้งยังลดภาระค่าใช้จ่ายไปได้ถึง 31 ล้านยูโรต่อปี แล้วได้เวลาสร้างทีมขึ้นมาใหม่
ฆอร์เก้ เมนเดส เอเย่นต์ที่มีชั้นมีเชิงและมีทักษะวาทศิลป์ เดินแผนทันที แต่คราวนี้เขา “หงายการ์ด” แล้วบอกว่า เขานี่แหละเป็นคนที่เสนอขาย โด้ ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และปารีส แซงต์-แชร์กแมงสองทีมอัครมหาเศรษฐีแห่งวงการฟุตบอล
ทำไมต้องเป็นสองทีมนี้ ก็คงไม่แปลกใจนัก ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานในยามที่โรคภัยคุกคามโลก มีไม่กี่ทีมที่จ่ายเงินแบบนี้ได้ ก็คงไม่พ้น 2 ทีมนี้
เปแอสเช ที่เสมือนกำลังจะสร้างอนาจักรใหม่แห่งกาลาติกอส ยุค 2021 ให้คนเหมือนกับกำลังเล่นเกมแฟนตาซี หากในชีวิตจริง สโมสรหนึ่งสโมสรใดจะมีทั้ง เมสซี่, เนย์มาร์ และโรนัลโด้
สุดท้าย เปแอสเช ปัดตก
ฟากฝั่ง แมนฯซิตี้ ที่อ่านกันว่า “จั่วลม” ไปแล้ว 1 รอบ เพราะไม่ได้คาดคิดเหมือนกัน(หรือไม่)กับการที่ เมสซี่ จะออกจาก บาร์เซโลน่าจริงๆ เพราะก่อนหน้านั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง พวกเขาเพิ่งเซ็นสัญญาในการคว้า แจ๊ค กรีลิช มาจาก แอสตัน วิลล่า 100 ล้านปอนด์
อีกอย่างคือ “เป้าหลัก” และ “เป้าใหญ่” ของ ซิตี้ อยู่ที่ แฮร์รี่เคน แม้ว่า โด้ จะ “เบอร์ใหญ่” มากแค่ไหน สุดท้ายพวกเขาเลือกที่จะปฏิเสธ เพราะอาจเป็นไปได้ในเรื่องของสปิริตในทีม, สไตล์การเล่น และด้วยวัยที่ทำให้ “เซ็นไม่ไหว”
เวลานี้พวกเขาต้องการกองหน้าตัวเป้ามากกว่า
ยิ่งมีข่าวที่ว่า จะขอเอา กาเบรียล เฮซุส แลกตัวกับ โรนัลโด้ ทำเอา ซิตี้ รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน หากว่ากันจริงๆ เงินแค่ 30 ล้าน และค่าเหนื่อยระดับนี้ ซิตี้ “จ่ายได้” แน่นอน แต่มันมาจากการที่พวกเขา “ไม่อยากจ่าย” มากกว่า
ในขณะที่ ซิตี้ ยังคงฝุ่นตลบ ยังไม่แน่ไม่นอน กระแสโลกออนไลน์ตีโครมโหมกระหน่ำ เผาเสื้อผ้าแมนยูฯของโด้เละเทะ
แฟนบอลผีแดงที่อังกฤษ ถึงขั้นยกเคสว่า ถ้า โด้ ย้ายไป แมนฯซิตี้ ไม่ต่างอะไรกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ย้ายจากลิเวอร์พูล มาอยู่กับ แมนฯยูไนเต็ด!!!!
“Deal or No Deal” เอาหรือไม่เอา สุดท้ายกลายเป็นฝั่งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้สัมภาษณ์ปรีแมทช์ก่อนพวกเขาจะไปเยือน วูล์ฟส์ ว่า ยังไง...ยังงายยยยยยย!!!!!
บรูโน่ เฟอร์นานเดส บอกว่า เขากล่อม โด้ อยู่ค่อนคืน ขณะที่ โอเล่ โซลชา ระบุว่า คุณจะไปไหน ให้รู้ว่า พวกเราอยู่ที่นี่.....ไม่ใช่กรุงศรีแต่พวกพี่อยู่นี่นะ!!!
กระแสในโลกออนไลน์ เปลี่ยนไปอย่างสุดขั้ว จากการด่าแบบ“เช็ดเม็ด”มาเป็นทั้งขู่ทั้งปลอบ ยกแม่น้ำทั้งห้ายกมาทุกมหาสมุทร...........
ถ้าคุณไป แมนฯซิตี้ คุณมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ แต่คุณจะสูญเสียทุกอย่างที่แมนยูฯ
แต่ถ้าคุณมา แมนยูฯ อีกครั้ง คุณจะเป็นตำนานของทีมตลอดไป และมีโอกาสในการประสบความสำเร็จ!!!!
สุดท้ายมาจริง!!!!!
กลับมายืนที่เดิมแต่ตรงไหนดี
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ไม่รู้ว่าเป็นแผนแบบไหน สื่อฝรั่งเศส ถึงกับกล่าวถึงความล้ำลึกของ เมนเดส ว่า ใช้สองทีมดังให้เป็นประโยชน์ ในการที่กล้าไป “เร่ขาย” ยอดนักเตะระดับ 5 บัลลงดอร์แบบนี้ ทำให้ แมนฯยูไนเต็ด ทนไม่ไหว โดดเข้าใส่ดีลนี้ทันที
เป็นการรักษา “คนในประวัติศาสตร์” ของตนเองให้อยู่ใน “ประวัติศาสตร์ของสโมสร” อย่างงดงามต่อไป
คนที่เรียนรู้และรู้จักประวัติศาสตร์ ย่อมมี่อนาคตกว่าคนที่ไม่รู้จักประวัติศาสตร์ของตัวเอง.....
ประเด็นคือ โรนัลโด้ กับ แมนฯยูไนเต็ด ค.ศ.นี้จะเล่นด้วยกัน และอยู่ร่วมกันอย่างไร ก่อนซื้อได้คิดแนวทางการทำงานไว้หรือไม่อย่างไร และระบบ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 จะไปอย่างไรต่อ
เพราะตามชั้นเชิงและตามทรงแล้ว โด้ ไม่มีทางเป็นตัวสำรองแน่นอน
จากแผนการเล่น 2 นัดแรก เริ่มจาก ชนะ ลีดส์ 5-1 แผนเกม 4-2-3-1 โดยตัวรุก “3” กับ “1” ประกอบด้วย บรูโน่ เฟอร์นานเดซ, ปอล ป๊อกบา, แดเนี่ยล เจมส์ และเมสัน กรีนวู้ด
นัดที่ 2 เสมอ เซาแธมป์ตัน 1-1 นั่นก็คือ บรูโน่ เฟอร์นานเดซ,ปอล ป๊อกบา, เมสัน กรีนวู้ด และอองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล เท่ากับว่า 2 นัดลงได้ 4 ใช้ตัวจริงไปทั้งหมด 5 คน
จาดอน ซานโช่, เอดินสัน กาวานี่, มาร์คัส แรชฟอร์ด, เจสซี่ ลินการ์ด, ฆวน มาต้า และโรนัลโด้
หากจะทดลงมาได้หนึ่งคน นั่นก็คือ ปอล ป๊อกบา ถอนลงมายืน“กลางคู่” ตรงเลข “2” เหมือนกับเล่นให้ทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งดีกว่าเนมานญ่า มาติช อย่างแน่นอน และในเวลาที่ สก็อต แม็คโทมิเนย์ ต้องไปรักษาอาการเจ็บ
จุดนี้คือจุดที่ ยูไนเต็ด กำลังมีปัญหา และมีนักบอลที่เล่นตรงนี้ได้นับหัวได้ นั่นก็คือ เฟร็ด และ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ๊ค
ทำให้แนวรุกถ้าสมบูรณ์ถึงขีดสุด ยูไนเต็ด จะมีทั้งดาวค้างฟ้าอย่าง โรนัลโด้ เล่นร่วมกับดาวจะโรจน์อย่าง ซานโช่ ส่วนอีกตำแหน่งอยากให้จับตา แรชฟอร์ด อย่างที่ผมบอกไว้เสมอว่า หากเขาอยู่ในยุคของเซอร์เฟอร์กี้ เขาจะดีกว่านี้ไปนานแล้ว
ขณะเดียวกัน บรูโน่ จะเป็นตัวฟรีที่กำหนดเกม โดยให้ ป๊อกบา ถอนไปคู่กับ เฟร็ด หรือ ฟาน เดอ เบ๊ค บอลของ ยูไนเต็ด จะไปอีกมิติส่วนแดนหลังมีทั้ง ราฟาเอล วาราน และแฮร์รี่ แม็กไกว์ น่าจะเป็นทัพที่สมบูรณ์สุดๆ แล้วของ “โอเล่ ทีม”
ส่วนเรื่องการตลาดนี่ไม่ต้องห่วง แต่อย่าใช้คำว่า “ขายเสื้อก็คุ้มแล้ว” มันไม่คุ้มหรอกถ้าคุณทราบว่า เงินแค่ไหนที่สโมสรได้คืนมาจากผู้ผลิต แต่เรื่องภาพลักษณ์จะโดดเด่นขึ้น ของทุกชิ้นต่างหากที่จะคุ้มค่าทุกเพนนี กับ 2 ปีต่อจากนี้
การมาของโด้ อย่างน้อย ยูไนเต็ด ก็จะได้กลับมาเร็วขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจ ระบบหมุนเวียนสุดสาหัส ตัวเลขที่เคาะออกมาใกล้เคียงกันก็คือ พวกเขาสูญเงินไปแมทช์เดย์ละ 200 ล้านบาท และรายได้หดไปถึงวันละล้านบาทนานเป็นปีช่วงโควิดระบาด
ไม่เคยมีปรากฏที่สโมสรต่างๆ ในพรีเมียร์ลีก จะพบกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นประวัติการณ์ถึง 1,380 ล้านปอนด์ในระหว่างปี 2019-20 และเป็น 2 ปีที่เลวร้ายสุดๆ ทางการเงินของวงการฟุตบอลอังกฤษ
ปรากฏการณ์ที่ต้องตามติดต่อ
.....ว่ากันตามเชิง ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ โด้ ชิ่งหนี เซเรีย อา อาจจะสะเทือน แต่แรงกระเพื่อมไม่เท่า เมสซี่ หนี ลา ลีกา
แต่อานิสงส์ของการย้ายของทั้งสองคนนี้ทำให้ พรีเมียร์ลีก และลีกเอิง มีแรงกระเพื่อมอีกมโหฬารบานฤทัยไผ่สีทองกันเลยเทียว
หุ้นทะลักทะลุขนาดนั้นในวันนี้ แล้ววันเปิดตัวจริงๆ จะขนาดไหน?!?!?!
“โอลด์ โรนัลโด้” มาแทนที่ “ยัง โรนัลโด้” ก็ว่าได้ เพราะไม่เคยมีหมายเลข 7 คนไหนที่สะท้านทรวงในต่อจากเขาได้อีกเลย
ไมเคิล โอเว่น, อันโตนิโอ วาเลนเซีย, อังเคล ดิ มาเรีย, เมมฟิส เดปาย, อเล็กซิส ซานเชซ และเอดินสัน กาวานี่ ชื่อชั้นหลายคนดูดี แต่พอเล่นทีนี่ยังห่างเยอะ
โด้ ถือว่า “The Last Man Standing” คนเดิมคนเดียวที่หลงเหลือจากชุดแชมป์ยูซีแอล สมัย 3 ซึ่งเป็นสมัยล่าสุดของทีมเมื่อปี 2008 ในค่ำคืนที่มอสโก
สำคัญก็คือ เขา “ได้เลือก” เพราะอาจจะตัวเขาเองด้วย และไม่ทรยศตัวเอง ไม่ทรยศแฟนบอล สำคัญก็คือ เซอร์เฟอร์กี้ ที่เป็นเสมือนพ่อคนที่สอง
โด้ เคยกล่าวเอาไว้ว่า ช่วงที่พ่อของเขาป่วยหนัก เขาได้โทรไปปรึกษากับ เซอร์เฟอร์กี้ สมัยยังถือบังเหียนอยู่ที่แมนยูฯ เพื่อขอลาไปดูอาการ สิ่งที่ได้รับคำตอบจากปลายสายก็คือ......“คริสติอาโน่ นายอยากจะไปกี่วันก็ได้ จะไปวันเดียว, 2 วัน หรือ 1 สัปดาห์ นายก็ควรต้องไปแม้ว่าฉันจะไม่มีนายลงสนาม ทั้งที่นายเป็นนักบอลคนสำคัญ แต่พ่อของนายสำคัญกว่า พ่อต้องมาเป็นอันดับ 1 อยู่เสมอ”
โด้ ระบุในหนังสืออัตถชีวประวัติของเขาว่า ตอนที่ได้ยินคำนี้ ถึงกับอึ้ง และรู้สึกได้เลยว่า พ่อในวงการฟุตบอลของเขานั้นคือ เซอร์เฟอร์กี้
ว่ากันว่า ครอบครัวเกลเซอร์ สั่งเดินหน้าเต็มกำลัง เพื่อจะใช้ โด้ มาเป็นคนที่ “กู้วิกฤติ” ที่พวกเขามีปัญหากับแฟนบอล จนเห็นภาพที่น่าอับอายปรากฏมาทั้งโลกเมื่อปลายฤดูกาลที่แล้ว
มาดใหม่ในการเป็นผู้เล่นที่เป็น “ตำนานนักเตะโลก” ไม่เหมือนกับ “เด็กกะโปโล” เป็นแค่ “ตัวตลก” เหมือนเมื่อ 18 ปีก่อน
แฟนบอลแมนฯยูไนเต็ด ยามนี้ไม่สนหรอกว่า จะยังไง แต่นี่คือดีลที่ยิ่งกว่าความฝัน เดี๋ยวว่ากันทีหลังว่าจะเอายังไงต่อ
แฟนบอลพรีเมียร์ลีก ก็ได้รับอานิสงส์ หลายคนไม่เคยได้เห็น โด้ในชุดผีแดงแบบสดๆ ก็จะได้เห็นกัน ฟุตบอลนี่มันบ้าเลือด.........
Football Bloody Hell อย่างที่ เซอร์เฟอร์กี้ กล่าวเอาไว้อย่างแท้จริง
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี