ศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดแรกรอบแบ่งกลุ่มประจำค่ำคืนวันพุธที่ 15 กันยายน เกมคู่เอกน่าสนใจสุดๆ อยู่ในกลุ่มบีเป็นการรีแมทช์ของคู่ชิงรายการนี้เมื่อปี 2005 และ2007 “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จะเปิดแอนฟิลด์ต้อนรับการมาเยือนของ “ปีศาจแดง-ดำ” เอซี มิลาน ในเวลา 02.00 น.
เจ้าถิ่น ผลงานในการออกสตาร์ทปีนี้ในลีกถือว่ายอดเยี่ยมลงเล่นมา 4 เกมชนะ 3 เสมอ 1 ยังไม่แพ้ใคร แต่เกมนี้จะหมดสิทธิ์ใช้งาน ฮาร์วีย์ เอลเลียต มิดฟิลด์ดาวรุ่งวัยทีนที่โชคร้ายข้อเท้าหลุดจากเกมนัดล่าสุดที่บุกถล่มเอาชนะ “ยูงทอง” ลีดส์ยูไนเต็ด 3-0 ส่วน โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ รอเช็คอาการอีกครั้งหลังจากไม่มีชื่อ คาดว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะไม่ปรับทีมใช้ชุดเดิมในระบบ 4-3-3 ใส่กัปตันทีม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงไปแทน เอลเลียต คุมแดนกลางร่วมกับ ฟาบินโญ่ และธีอาโก้ อัลคันทาร่าโดยมี โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดิเอโก้ โชต้า และซาดิโอ มาเน่เป็นสามประสานในเกมรุก
ทีมเยือน เอซี มิลาน ภายใต้การคุมทีมของ สเตฟาโน่ปีโอลี่ ออกสตาร์ทในลีกได้อย่างร้อนแรงด้วยการชนะ 3 เกมรวด เช่นเดียวกับ โรม่า และนาโปลี เกมนี้ไม่มี ตีมู บากาโยโก้ และราเด้ ครูนิช ที่บาดเจ็บแต่ข่าวดีคือการได้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ หายจากโควิด-19 พร้อมกลับมาช่วยทีม เช่นเดียวกับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิชที่สภาพร่างกายสมบูรณ์ขึ้น เกมล่าสุดก็ลงมายิงปิดกล่องให้ทีมชนะ ลาซิโอ้ 2-0 ตำแหน่งอื่น ๆ ไม่มีปัญหาอะไรมาสู้ด้วยระบบ 4-2-3-1 ซานโดร โตนาลี่ คุมจังหวะเกมแดนกลางร่วมกับฟร้องค์ เกสซิเย่ร์แนวรุกใช้ อเล็กซิส ซาเลแมร์เกอร์ส, บราฮิมดิอาซ และราฟาเอล เลเอา ส่วนหน้าเป้าต้องเลือกระหว่างชิรูด์ หรืออิบราฮิโมวิช
สถิติการเจอกันของทั้งสองทีมเจอกันมา 4 ครั้งในทุกรายการ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ครั้ง ซึ่งเป็นรอบชิงชนะเลิศทั้งหมด ปี 2005 ลิเวอร์พูล สร้างปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูลตามหลัง3-0 ก่อนจะตีเสมอ 3-3 และไปดวลจุดโทษคว้าแชมป์ และอีก 2 ปีต่อมา 2007 เอซี มิลาน ทวงแชมป์คืนเอาชนะ 2-1 ส่วนอีก 2 ครั้งดวลกันในศึกไอซีซี คัพ ลิเวอร์พูล ชนะด้วยสกอร์ 2-0 ทั้งสองเกม
ทางด้าน กลุ่ม ดี “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน ทำศึกบิ๊กแมทช์กับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ในเวลา 02.00 น.
เจ้าถิ่น “งูใหญ่” ที่ปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งตัวนักเตะและกุนซือใช้บริการของ ซิโมเน่ อินซากี้ พร้อมขายแข้งตัวหลักอย่าง โรเมลู ลูกากู และอาชราฟ ฮาคิมี่ นำเงินมาพยุงสโมสรเกมล่าสุดในลีกสะดุดเสมอกับ ซามพ์โดเรีย 2-2 เกมนี้ไม่มีสเตฟาโน่ เซนซี่ มิดฟิลด์ที่บาดเจ็บมาจากเกมล่าสุด ที่เหลือขุมกำลังถือว่าพร้อมเล่นระบบ 3-5-2 นิโกโล่ บาเรลล่า และมาร์เซโลโบรโซวิช เป็นตัวคุมจังหวะตรงกลาง ปล่อยให้ ฮาคาน ชัลฮาโนกลูมีอิสระในการปั้นเกมรุกร่วมกับตัวริมเส้นอย่าง มัตเตโอ ดาร์เมี่ยนและอีวาน เปริซิซส่วนคู่หัวหอกใช้ เอดิน เชโก้ เล่นกับเลาตาโร่มาร์ติเนซ
ทางฝั่ง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด นี่ก็เปลี่ยนโค้ชเหมือนกันจากซีเนอดีน ซีดาน กลับมาเป็นคาร์โล อันเชล็อตติฟอร์มดีในลีกชนะ 3 เสมอ 1 นำจ่าฝูงของศึกลาลีกา สเปน แต่เกมนี้ยังเจอปัญหานักเตะบาดเจ็บไล่ตั้งแต่ โทนี่ โครส, ดานี่เซบาญอส, แฟร์กลองด์ เมนดี้ และแกเร็ธ เบล ทำให้ในตำแหน่งแบ๊กซ้ายต้องใช้บริการดาวรุ่งอย่าง มิเกล กูเตียร์เรซ เพราะมาร์เซโล่ หมดสภาพไปแล้ว ข่าวดีคือการได้ลูก้า โมดริช กลับมาคุมแดนกลางร่วมกับ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ และคาเซมิโร่ แผงเกมรุกเลือกความเร็วของวินิซิอุส จูเนียร์ ประสานงานกับ เอแดน อาซาร์และคาริม เบนเซม่า ที่ยิงแฮททริกมาในเกมล่าสุด
สถิติการเจอกันของทั้งสองทีม 5 ครั้งหลังสุด เรอัล มาดริด ไม่แพ้ให้กับ อินเตอร์ มิลาน เลย โดยเอาชนะได้ 4 และเสมอ 1 ปีที่แล้วในรายการนี้ก็เจอกันรอบแบ่งกลุ่ม ปรากฏว่า “ชุดขาว” เก็บเรียบทั้งไปและกลับ
อีกคู่ในกลุ่ม เอ แมนฯซิตี้ เจอกับ แอร์เบ ไลป์ซิก เวลา02.00 น. โดย 2 ทีมนี้ไม่เคยพบกันมาก่อน
“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กลายเป็นเต็งแชมป์ของรายการนี้มาตลอดแต่ไม่เคยไปถึงฝันสักทีปีที่แล้วทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศแต่ไปพ่ายเชลซี ปีนี้หวังมาแก้มือ ความพร้อมถือว่า
สมบูรณ์ขาดเพียง แซ็ค สเตฟเฟ่น นายทวารมือสองที่ติดโควิด-19 รวมไปถึง เบนฌาแม็ง เมนดี้ ที่ก่อคดีร้ายแรง ยิ่งการได้เควิน เดอ บรอยน์ กลับมาทำให้ทีมดูน่ากลัวขึ้นเยอะ และคาดว่าเกมนี้จะออกสตาร์ทตัวจริง เล่นร่วมกับ โรดรี้และอิลคาย กุนโดกันในแดนกลาง ส่วนเกมรุกใช้ ริยาด มาห์เรซ, เฟร์ราน ตอร์เรส และราฮีม สเตอร์ลิ่งโดยมี แจ็ค กรีลิช และกาเบรี่ยล เฮซุส เป็นตัวเปลี่ยนเกมบนม้านั่งสำรอง
ทีมเยือน แอร์เบ ไลป์ซิก เสียทั้งโค้ช และนักเตะไปให้กับทีมคู่ปรับ บาเยิร์น มิวนิค เกมล่าสุดหมดสภาพนักศึกษาพ่าย “เสือใต้” คารัง 1-4 ทำให้ภายใต้การคุมทีมของกุนซือคนใหม่เจสซี่ มาร์ช ลงเล่นไป 4 เกมชนะ 1 แพ้ 3 นัดนี้ไม่มี มาร์เซลฮัลส์เตนแบร์ก ที่มีอาการบาดเจ็บ ส่วน อังเคลิโญ่ หายจากอาการบาดเจ็บกลับมาแล้ว แต่ทีมเล่นในระบบ 4-2-3-1 แตกต่างจากปีที่แล้ว ทำให้ต้องเบียดกับ ยอสโก้ กวาร์ดิออล ที่เหลือต้องฝากความหวังไว้ที่แนวรุกอย่าง โดมินิค โซบอสซ์ไล, เอมิล ฟอร์สเบิร์ก,คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู และอังเดร ซิลวา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี