“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เดินหน้าหากุนซือคนใหม่หลังจากปลด โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม หลังจากจบเกมแพ้ วัตฟอร์ด กระจุย 1-4 ทำให้พวกเขาเก็บได้แค่ 4 คะแนน จาก 6 นัดหลังสุด และหล่นไปอยู่อันดับที่ 8ของตารางมี 17 คะแนน ตามหลังจ่าฝูง เชลซี ห่าง 12 แต้ม ทั้งที่เพิ่งผ่านไป 12 เกม
ผลงานไม่เป็นดังคาดก่อนโดนปลด
โซลชา ปัจจุบันวัย 48 ปี เข้าไปรับงานคุมทีมแบบสัญญาชั่วคราวในวันที่ 19 ธันวาคม 2018หลังจาก โชเซ่ มูรินโญ่ โดนปลดจากตำแหน่งเพราะแพ้ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ 1-3 โดยตัวเขาเคยค้าแข้งให้ “ปีศาจแดง” ถึง 11 ซีซั่น ลงเล่นไป 366 นัดยิง 126 ประตู และเป็นผู้ทำประตูชัยศึก ยูฟาแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค 2-1 ปี 1999
จากนั้น โซลชา พาทีมผลงานดี ทำให้ได้รับสัญญาถาวร 3 ปี เมื่อ 28 มีนาคม 2019 แต่เขาเริ่มถูกตั้งคำถามหลังจากได้สัญญายาว เนื่องจากทำทีม 17 นัดแรก ชนะถึง 14 แต่ปรากฏว่า 9 เกมต่อมาแพ้ถึง 7 ชนะได้แค่ 2
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลที่แล้ว โซลชา พาทีมจบอันดับ 2 ในลีก พาทีมเข้าชิงชนะเลิศ 1 รายการแต่ดวลแตกแพ้ บียาร์เรอัล ในการดวลจุดโทษศึกยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ทำให้ได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่อยู่ต่อกับทีมถึงปี 2024 แต่ผลงานปีนี้เกินใจจะอดทนทำให้ถูกปลดในที่สุด ยุติการทำงาน 2 ปี 11 เดือน มีสถิติทำงาน 168 นัด ชนะ 91 เสมอ 37 แพ้ 40 เกม
เจ้าตัวเสียใจแต่เชื่อทีมไปต่อไกลแน่
โซลชา ได้กล่าวขอบคุณ บอร์ดบริหารและเจ้าของทีมที่ให้การสนับสนุนในระหว่างการทำงานที่ช่วยคว้าตัวนักเตะชั้นดี และทีมสต๊าฟที่ยอดเยี่ยม เข้ามาร่วมทีม จนทำให้ตอนนี้ทีมดีกว่าตอนที่เขาเข้ามารับงานในช่วงแรก
“ผมหวังใจเอาไว้ว่าผู้จัดการทีมคนต่อไปจะประสบความสำเร็จ”
ไมเคิ่ล คาร์ริค ที่เป็นมือขวาของโซลชาจะทำงานนี้ต่อไปในฐานะกุนซือชั่วคราวในระหว่างที่ทีมบริหารกำลังหาตัวกุนซือคนใหม่โดย คาร์ริค จะงานร่วมกับ ไมค์ ฟีแลน กับคีแรน แม็คเคนน่า ที่ยังได้ทำทีมต่อไปพร้อมกับมี ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของสโมสร จะมาร่วมงานอย่างใกล้ชิด
สำหรับ คาร์ริค เคยลงเล่นให้กับ แมนฯยูไนเต็ดถึง 12 ซีซั่น ตั้งแต่ปี 2006-2018 รวมทั้งสิ้น 464 นัดยิง 24 ประตู ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ1 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย, ยูโรป้า ลีก 1 สมัย และแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย
วังวนหลังยุคของ ‘เซอร์เฟอร์กี้’
6 พฤศจิกายน 1986 แมนฯยูไนเต็ด หลังจากปลด รอน แอ็ตกินสัน ออกจากตำแหน่ง ได้คว้าตัว อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้ามาคุมทัพ และใช้เวลา 4 ปีหยิบโทรฟี่แรก นั่นก็คือ เอฟเอ คัพ 1990 ถือเป็นถ้วยต่อชะตาชีวิต และพลิกโฉมหน้าวงการฟุตบอลอังกฤษ รวมถึงโลกฟุตบอลไปตลอดกาล
จาก “มิสเตอร์เฟอร์กี้” กลายเป็น “เซอร์เฟอร์กี้”เมื่อเขาคุมทีมยาวนานจนถึง 19 พฤษภาคม 2013 รวมเวลานานกว่า 26 ปี คุมทัพไปถึง 1,500 นัด ชนะ 895 เกม ครองแชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย, เอฟเอ คัพ 5 สมัย, ลีกคัพ 4 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก2 สมัย, คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย และแชมป์สโมสรโลกทั้งเวอร์ชั่นเก่า-ใหม่อย่างละ 1 สมัย
อย่างไรก็ตาม เมื่อหมดยุคของ เซอร์เฟอร์กี้กลายเป็นว่า ยูไนเต็ด ไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดอีกเลยและใช้กุนซือไปแล้ว 4 คน นั่นคือ เดวิด มอยส์คุมทีม 51 นัด ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2013-22 เมษายน 2014 ได้โล่คอมมิวนิตี้ ชิลด์ปลอบใจ, หลุยส์ ฟาน กัล คุมทีม103 นัด ตั้งแต่ 16 กรกฎาคม 2014-23 พฤษภาคม 2016 ได้แชมป์เอฟเอ คัพ 1 สมัย, โชเซ่ มูรินโญ่27 พฤษภาคม 2016-18 ธันวาคม 2018 ได้แชมป์ยูโรป้า ลีกกับ ลีกคัพ คุมทัพไป 144 นัด กระทั่งถึงยุคของ โซลชา
จังหวะ-โอกาส-เวลาเหมาะหรือไม่
คำถามในการปลด โซลชา อาจจะไม่เยอะมาก แต่นับว่าหนักหน่วง
ผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่าจะต้องปลด แต่น่าสนใจว่าทีมสต๊าฟยังคงอยู่ นั่นหมายว่า บอร์ดบริหารต้องการปลดเพื่ออะไรกันแน่ และทำไมเพิ่งจะคิดปลด
คำถามแรกนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่ว่า ปลดเพื่อลดกระแสกดดัน และต้องการเอาตัวรอดไปก่อน เพราะทีมบริหารเกลเซอร์แฟมิลี่ ถือเป็น “เป้าหลัก” ในการถล่มจากแฟนบอล หากทีมแย่ลงเรื่อยๆ กระแสอาจจะตีกลับมาเล่นงานพวกเขาอีกครั้ง เหมือนกับเมื่อปลายซีซั่นก่อน ที่หนักขนาดแฟนบอลบุกเข้าไปประท้วงในสนามจนต้องเลื่อนเกมบิ๊กแมทช์กับลิเวอร์พูล
คำถามที่ 2 ทำไมที่เพิ่งจะปลดนั้น จริงๆ แล้วการทำงานไม่ได้ตัดสินกันแค่นัดสองนัด การแพ้ลิเวอร์พูล 0-5 ที่แฟนบอลบางส่วนมองว่า ควรจะทำตั้งแต่วันนั้น แต่บริษัทใหญ่ๆ องค์กรยักษ์อย่าง ยูไนเต็ด ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ แต่ฟางเส้นสุดท้ายเกิดขึ้นที่วิคาเรจโร้ด ในการแพ้ วัตฟอร์ดแบบเละเทะ
เงื่อนไขการจ่ายเงินชดเชย 7.5 ล้านปอนด์ ก็ถือว่าสำคัญ ที่ต้องคิดเยอะ หลังจากเพิ่มต่อสัญญาไป 3 ปี เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทำให้ต้องพิจารณากันนานหน่อย แต่...
แต่นาทีปัจจุบัน ผู้จัดการทีมที่จะ “กล้า”มารับตำแหน่งที่ “ร้อนกว่าไฟ” นั้น มีความเหมาะสมอยู่ไม่กี่คนแล้วในเวลานี้
จริงอยู่ที่สไตล์ของ อันโตนิโอ คอนเต้ อาจจะไม่เหมาะกับ แมนยูฯ แต่กระแสข่าวที่ออกมาก็คือ เขาได้ “แต่งตัวรอ” อยู่นาน สุดท้ายก็เลือกไปสเปอร์ส
ทำให้ไม่รู้ว่าการปลดในช่วงเวลานี้ จะเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
การปลดบางครั้งง่ายมาก แต่บางคราตัวเลือกที่จะหามาแทนที่...นี่แหละคือปัญหา
งานนี้ท้าทายและดูว่าจะยากไปหมดสำหรับวงจรที่เกี่ยวข้องกับยูไนเต็ด!!!
ปลดง่าย-ตั้งยาก! ‘ร็อดเจอร์ส’ ยึดเต็งคุมทีม
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ของ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน”เลสเตอร์ ซิตี้ พลิกขึ้นมาเป็นเต็ง 1 ที่จะคุมทัพแทนที่ โซลชา หลังจากมีกระแสข่าวเกี่ยวกับตัวเขามานานพอสมควร โดยที่ “ซิซู” ซีเนดีน ซีดาน อดีตกุนซือเรอัล มาดริด หลุดไปเป็น เต็ง 4 แล้ว
เต็ง 2 ไมเคิ่ล คาร์ริค กุนซือแคร์เทคเกอร์ ขึ้นมาผงาดที่อาจจะได้รับงานถาวร หากออกสตาร์ทได้น่าสนใจ จากนั้นไล่เรียงไปคือ เต็ง 3 เมาริซิโอโปเช็ตติโน่ ของปารีส แซง-แชร์กแมง ที่ตอนนี้นำโด่งเป็นจ่าฝูงลีกเอิง, เต็ง 5 เอริค เทน ฮาก กุนซืออาแจ๊กซ์ สายบุก จ่าฝูงร่วมเอเรดิวิซี่ ลีก ดัทช์,เต็ง 6 ราล์ฟ รังนิค จอมเก๋าประสบการณ์ชาวเยอรมนี วัย 63 ปี, เต็ง 7 โลร็องต์ บล็องก์ ที่เคยอยู่ผี 2 ปี ตอนนี้อยู่ อัล-รายยาน ในกาตาร์, เต็ง 8หลุยส์ เอ็นริเก้ ที่เพิ่งพา สเปน ไปบอลโลก และเต็ง 9 ฆูเลน โลเปเตกี กุนซือเซบีญ่า นี่คือตัวละครล่าสุดที่โผล่มาเป็นตัวเลือก
ทั้งนี้ถ้าจะคว้า ร็อดเจอร์ส ไปคุมทัพนั้นแมนยูฯ ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้ เลสเตอร์ อยู่ที่ 8 ล้านปอนด์ด้วยกัน
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี