ฟาฮัด โมชิรี่ เจ้าของสโมสรเอฟเวอร์ตัน ที่กำลังสั่นคลอนทั้งระบบ

“เล่นให้มันเป็น เอฟเวอร์โตเนี่ยน หน่อยสิวะ!!!!”

เสียงตะโกนดังกล่าวลั่นสนั่น “พาร์ค เอนด์” หรือ เซอร์ฟิลิป คาร์เตอร์ พาร์ค สแตนด์!!!!

คำนี้ยังก้องอยู่ในหัวของผม เมื่อครั้งมีโอกาสไปชมเกมระหว่าง เอฟเวอร์ตัน กับ บอร์นมัธ ที่กูดิสัน พาร์ค เมื่อปี 2016 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดที่ได้ไปเยือนที่นั่น

ผมก็ว่ามันจริง!!!

ใช่! เล่นให้มันเสถียรและสะใจให้สมกับเป็น “เอฟเวอร์ตัน” ที่รู้จักหน่อยสิ!!!

ช่วงเวลานั้น เพิ่งมีเหตุการณ์สำคัญผ่านพ้นไปไม่ถึง 2 เดือน เพราะวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2016 สโมสรได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ฟาฮัด โมชิรี่ ซื้อหุ้นในสโมสร 49.9%

เศรษฐีลูกครึ่งอิหร่าน-อังกฤษ เป็นประธานและผู้ถือหุ้นของ USM ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งของรัสเซียที่มีความหลากหลายทางธุรกิจ ด้านโลหะและเหมืองแร่ โทรคมนาคม เทคโนโลยี และภาคอินเตอร์เนต

ในเดือนมกราคม 2022 ที่ผ่านมา โมชิรี่ เพิ่งจะยุติเสียงนกเสียงกา ด้วยการเพิ่มหุ้นในสโมสรเป็น 94% ท่ามกลางข่าวว่าเขาต้องการขายทีมเพราะเข็นต่อไม่ไหว

เขาเข้ามาพัฒนา เอฟเวอร์ตัน ในการทุ่มเงินลงตลาดนักบอลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนนับร้อยล้านปอนด์

ช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน กลายเป็นสโมสรรวยที่สุดในโลก ติด20 อันดับแรก ประจำปี 2018

นับตั้งแต่เข้ามาคุมทีมซื้อนักบอลมหาศาลเป็นระดับท็อปของลีกก็ว่าได้

ปี 2016-17 ซื้อนักเตะ 74 ล้านปอนด์

ปี 2017-18 ซื้อนักเตะ 161 ล้านปอนด์

ปี 2018-19 ซื้อนักเตะ 81 ล้านปอนด์

ปี 2019-20 ซื้อนักเตะ 110 ล้านปอนด์

ปี 2020-21 ซื้อนักเตะ 62 ล้านปอนด์

ปี 2021-22 ซื้อนักเตะ 22.6 ล้านปอนด์

หลายๆ คน ประสบปัญหาช่วงโควิด แต่ในทางกลับกัน เมื่อปีก่อน “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เหมือนกับไม่มีปัญหานั้น เมื่อ เดินหน้าเซ็นสัญญาทางธุรกิจเพื่อเพิ่มมูลค่าใหม่ไปเรื่อยๆ เมื่อเซ็นสัญญา 3 ปีกับ “Cazoo” มาเป็นสปอนเซอร์หลักคาดหน้าอกแล้ว เป็นลำดับที่ 8 ของสโมสร

ก่อนหน้านี้ผู้คาดหน้าอกของ “ทอฟฟี่เมน” ประกอบด้วย Hafnia (1979-85), NEC (1985-95), Danka (1995-97), one2one (1997-2002), Kejian (2002-04), Chang Beer (2004-17) และ SportPesa (2017-2020)

ต่อด้วย เซ็นสัญญา 3 ปี กับ “ฮุมเมล” แบรนด์เสื้อจากเดนมาร์ก ด้วยสัญญาปีละ 9 ล้านปอนด์ หรือกว่า 360 ล้านบาท แทนที่ของเดิมคือ อัมโบร ที่ได้รับอยู่ที่ประมาณปีละ 4-5 ล้านปอนด์

ซึ่ง ฮุมเมล ถือเป็นแบรนด์ที่ 5 ที่ทำงานร่วมกับเอฟเวอร์ตันและเป็นลำดับที่ 9

โมชิรี่ ได้เดินตามความต้องการของเขา เมื่อจัดการสร้างสนามใหม่ หลังจากวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2021 สภาเมืองอนุมัติให้สร้างสนามใหม่ จะตั้งอยู่ที่ อู่เรือ แบรมลีย์-มัวร์ ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลติดริมแม่น้ำเมอร์ซ่ีย์ ที่มีบรรยากาศสวยงาม หลังคาสนามยังได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ไว้อีกด้วย และสามารถจุแฟนบอลได้มากถึง52,888 ที่นั่ง พร้อมกับศักยภาพสามารถขยายความจุได้ถึง 62,000 ที่นั่งในอนาคต

มูลค่าในการก่อสร้าง 500 ล้านปอนด์ หรือราว 19,300 ล้านบาทกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2024     

สนามเดิมคือ กูดิสัน พาร์ค ที่ใช้งานมาตั้งแต่ปี 1892 ปัจจุบันมีความจุ 39,414 คน จะถูกส่งคืนให้สภาเมืองเพื่อนำพื้นที่ไปใช้ประโยชน์ต่อไป

เป็นการเดินตามวิสัยทัศน์ของโมชิรี่ อีกครั้งกับการเอ่ยประโยคหนึ่งไว้ ถ้าเราคิดจะทำต้องคิดให้มันเจ๋งไปเลย อย่าคิดแค่ช่วงสั้นๆหรือคิดแค่เล็กๆ ผมว่าเราควรทำสนามใหม่ให้มีความจุระดับ 60,000-65,000 คนไปเลย!!!”

อลิสเชอร์ อุสมานอฟ ชาวรัสเซีย ต้องถูกถอนราก เพราะมีความสนิทสนมกับวลาดีมีร์ ปูติน

การลงทุนอีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ การซื้อตึกรอยัล ริเวอร์ หรือตึกที่บนยอดมีนกไลเวอร์เบิร์ด “เบลล่า-เบอร์ตี้” พร้อมกับได้เปิดหอคอยฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นด้านที่ติดแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ ให้คนเข้าชมเมื่อปี 2019 

เหตุผลในการซื้อมีคนมองอยู่ 3 ข้อตามสูตร ก็คือ 1.ประกาศศักดา มีการตั้งออฟฟิศของเอฟเวอร์ตัน บนตึก 2.มองจากตึกนี้จะเห็นสนามใหม่ของเอฟเวอร์ตัน และ 3.คนอังกฤษพร้อมจะขายของเก่าทำมาหารับประทานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

แสบสุดคงไม่พ้น การส่องไฟสีน้ำเงินฉาบลงที่ตึก และนกไลเวอร์เบิร์ด จากเดิมเป็นสีพาติน่า ที่เก่าแก่ตามกฎธรรมชาติ ให้กลายเป็น “สีน้ำเงิน”!!!!

อย่างไรก็ดี การใช้ใจนำทางก่อนแนวคิด เป็นเรื่องที่ดี

แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ใช้ไม่ได้ในทุกองศา

โมชิรี่ ต้องการให้ เอฟเวอร์ตัน มีสนามใหม่ และเปิดประตูสู่แฟนบอลจากเอเชีย โดยเฉพาะชาวอิหร่าน บ้านเกิด แต่มันไม่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพราะต้องไม่ลืมเรื่องว่าธุรกิจฟุตบอลไม่เหมือนอย่างอื่น

ธุรกิจฟุตบอล นำทางด้วยผลงานในสนาม

.......การสูญเสียทางการเงินของเอฟเวอร์ตัน เมื่อฤดูกาลที่แล้วคือ 120.9 ล้านปอนด์ และผลขาดทุนรวมตลอด 3 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 372.6 ล้านปอนด์ ไม่มีสโมสรใดในพรีเมียร์ลีกที่สูญเสียมากกว่าในช่วงเวลานั้น

กล่าวคือ กฎพรีเมียร์ลีกมีอยู่ว่า ถ้าบริหารงาน 3 ปี แล้วขาดทุนเกิน 150 ล้านปอนด์ จะต้องถูกสอบสวนทันที

สโมสรมั่นใจว่าเนื่องจากการสูญเสียบางส่วนเกี่ยวข้องกับโควิดสโมสรจะรอดพ้นจากการดำเนินการของ PL สำหรับการละเมิดกฎทางการเงิน

แต่มันมาจากการบริหารที่มีค่าจ้างเพิ่มขึ้น 17 ล้านปอนด์ รวมเป็น 182 ล้านปอนด์

กลุ่มแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ที่อังกฤษ ระบุว่า ทีมบริหาร เหมือนกับ ไม่มีแผนที่แท้จริง

เจ้าของก้าวเข้ามาโดยไม่รู้เรื่องอะไร และเซ็นสัญญานักบอลที่มีราคาแพงและไม่ใช่การเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่ชาญฉลาด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่อนุญาตให้ ผู้อำนวยการฟุตบอล มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างของสโมสร จนนักวิจารณ์ที่อังกฤษบางคนมองว่า โมชิรี่ กำลังเป็นผู้ทำลายเอฟเวอร์ตัน ด้วยตัวเขาเองหรือไม่!?!?!?

สิ่งที่เป็นแรงบวกก็คือ หางเลขจากสงคราม ไม่เพียงแต่ เชลซี ที่เกิดผลกระทบเท่านั้นจากพิษสงครามรัสเซียบุกยูเครน

แต่ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ก็หนักไม่แพ้กัน

เอฟเวอร์ตัน ยืนยันว่า ได้ระงับข้อตกลงกับการเป็นสปอนเซอร์เชิงพาณิชย์ทั้งหมดกับบริษัทรัสเซียอย่าง USM, Megafon และ Yota โดยมีผลทันที

น่าสนใจก็คือ ประมาณการว่าจะมีมูลค่าประมาณ 40 ล้านปอนด์จากรายได้ประจำปี ทั้งหมด 60 ล้านปอนด์ ของพวกเขา

เท่ากับเงินหายไปทันทีมากกว่า 66.66 เปอร์เซ็นต์!!!

นั่นมาจาก อลิสเชอร์ อุสมานอฟ ชาวรัสเซีย ที่มีความสนิทสนมกับวลาดีมีร์ ปูติน

อุสมานอฟ เป็นเจ้าของบริษัท ยูเอสเอ็ม โฮลดิ้ง ที่มี ฟาร์ฮัด โมชิรี่ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ เอฟเวอร์ตัน เป็นประธาน ซึ่งเขาคือกระเป๋าของ โมชิรี่

เป็นคนสำคัญด้านการเงินของเอฟเวอร์ตันหลังจากถอนสมอมาจากอาร์เซนอล

แฟรงค์ แลมพาร์ด จูเนียร์ ต้องตั้งสติก่อนสตาร์ท และย้ำให้นักบอลมีสมาธิที่ฟุตบอลให้มากกว่านี้

เป็นที่ทราบกันว่า อุสมานอฟ พร้อมที่จะยื่นข้อเสนอ 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,170 ล้านบาท) เพื่อเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ชื่อสนามแห่งใหม่ของทีมเอฟเวอร์ตัน ที่แบรมลีย์ มัวร์ ด็อค ที่มีมูลค่าการก่อสร้างกว่า 200 ล้านปอนด์ (ประมาณ 11,700 ล้านบาท)

รายละเอียดของสัญญาก่อนหน้านี้ คาดว่า อลิสเชอร์ #อุสมานอฟจะได้ลิขสิทธิ์ชื่อสนามรวมระยะเวลา 10 ปี และจะใช้ชื่อสนามแห่งใหม่ว่า “USM” แทนที่ กูดิสัน พาร์ค เดิม

ในตอนนี้ “USM” ยังถือลิขสิทธิ์สนามซ้อมฟินซ์ ฟาร์ม ด้วยสัญญามูลค่า 12 ล้านปอนด์ (ประมาณ 468 ล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2018

วุ่นวายอย่างที่สุดนี่คือเรื่องการบริหารที่เป็นเรื่องภายใน

ว่ากันถึง “ศึกใน” จากนั้นไปต่อยัง “ศึกนอก” ที่ต้องต่อกรกับคู่แข่งที่เหลือในซีซั่นนี้ ที่อยู่ในข่าย “นรกสวรรค์ ห่างกันแค่ปลายก้อย”

พวกเขาอยู่ในโซนตกชั้นเป็นที่เรียบร้อย

ร้อนไปจนถึงมีการช่วยกันประกาศผ่านทางเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสรว่า ในวันอาทิตย์นี้ สโมสรได้ร้องขอแฟนบอลให้มาช่วยกันต้อนรับนักเตะก่อนเกม

Bring your banners. Bring your flags. Bring your voices. คือมีเท่าไหร่มาช่วยกันใส่ให้หมด!!!

การนัดแฟนบอลมารวมตัวกันที่ กูดิสัน โรด และซิตี้ โรด ตั้งแต่เที่ยง เพื่อต้อนรับรถโค้ช และแสดงความเป็นเอฟเวอร์โตเนี่ยน เพื่อสนับสนุนทีม และแฟรงค์ แลมพาร์ด จูเนียร์ กุนซือคนปัจจุบัน

ซึ่งเป็นกุนซือคนที่ 7 ภายใต้การบริหารงาน 6 ปีของ โมชิรี่

เคยมีกลุ่มแฟนบอลสร้างบรรยกาศแบบนี้มาแล้วในการดวลกับ ลีดส์ ซึ่งได้ผล และหวังว่ามันจะได้ผลในอีก 3 เกมที่เหลือในบ้านปีนี้นั่นคือ ดวลกับ เชลซี บ่ายสองโมงตามเวลาที่อังกฤษ วันอาทิตย์นี้ต่อด้วยเจอกับ เบรนท์ฟอร์ด ในวันที่ 15 พฤษภาคม และดวลกับ คริสตัล พาเลซ นัดรองสุดท้าย ซึ่งเป็นเกมสุดท้ายในซีซั่นที่จะได้เล่นในบ้าน วันที่ 20 พฤษภาคม

ริชาร์ลิซอน (ที่ 2 จากซ้าย) ถึงเวลาที่ควรตั้งใจในเกมมากกว่าชิงจังหวะเล่นนอกเกม ที่ไร้ประโยชน์

เอฟเวอร์ตัน ดูจะฝากความหวังไว้กับ 9 คะแนนนี้ในบ้านตัวเอง ที่เจอกับทีมจากลอนดอนทั้งหมด

ขณะที่เกมเยือนของพวกเขานั้นถือว่าน่าสนใจเช่นกัน เพราะต้องไปเยือน เลสเตอร์ ที่อาจจะหมดแรงจากยูฟ่า คอนเฟเรนซ์ ลีก ต่อด้วยการไปเยือน วัตฟอร์ด ที่หนีตายอยู่เช่นกัน ซึ่งในวันนั้นไม่รู้ว่าวัตฟอร์ด ยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ในลีกสูงสุดปีนี้ และปิดท้ายด้วยการไปเยือนของแข็งอย่าง อาร์เซนอล ที่มี มิเกล อาร์เตต้า อดีต
นักเตะที่ดังกับเอฟเวอร์ตันเอง เป็นกุนซือ

เทียบความหนักแล้วไม่รู้ว่าแมทช์ไหนหนักกว่า แต่ก็แน่นอนว่า ทุกเกมของ เอฟเวอร์ตัน ดุจดั่งนัดชิงชนะเลิศ

ประเด็นคือ แลมพ์ จูเนียร์ เองก็ต้องนิ่งกว่านี้ สงบกว่านี้ กับสถานการณ์แบบนี้ ก่อนที่จะคุมนักบอลให้อยู่

ตัวเขาต้องรู้จักคุมตัวเองให้อยู่เสียก่อน

ประสบการณ์ตรงนี้ตัวเขาไม่เคยมี เพราะยุคคุม ดาร์บี้ เคาน์ตี้ก็คือลุ้นขึ้นชั้น แต่ทำไม่เสร็จได้แค่ชิงเพลย์ออฟ ก่อนจะรับงานคุม เชลซี เพื่อการเป็นแชมป์ก็ทำไม่สำเร็จ ได้แค่ชิงเอฟเอ คัพ

ส่องกระจกทั้งหกด้านดูแล้ว งานนี้มันหนักมากและท้าทายมากสำหรับ 68 ปีที่ยั้งยืนยงในลีกสูงสุดของ เอฟเวอร์ตัน

ที่วัดใจของทุกฝ่ายของฟากฝั่งสีน้ำเงิน จริงๆ

บี แหลมสิงห์