การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาล 2021-22 เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ฟาดแข้งกันที่สนาม สต๊าด เดอฟรองซ์ ในแซงต์ เดอนีส์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในเวลา 02.00 น. เป็นการดวลกันของสองทีมเจ้ายุโรป “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จากอังกฤษเปิดศึกล้างตา “ราชันชุดขาว” เรอัลมาดริด จากสเปน โดยมี เคลมองต์ ตูแป็ง เปาชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ตัดสินใจเกมนี้ โดยจะถ่ายทอดสดทาง บีอินสปอร์ตส์
“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เจ้าของดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยของอังกฤษซีซั่นนี้ ที่กวาดทั้งลีกคัพ และเอฟเอ คัพ ส่วน พรีเมียร์ลีก เข้าป้ายเป็นรองแชมป์ด้วยการแพ้ แมนฯซิตี้คะแนนเดียว โดยพวกเขายาตราทัพเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรายการนี้เป็นครั้งที่ 9 ได้แชมป์มา 6 สมัย ก่อนเริ่มเกมโมฮาเหม็ด ซาลาห์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์รอคอยวันที่จะได้ล้างตาเรอัล มาดริด มาตลอด หลังจากที่เคยอกหักในเกมนัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 2018 เกมนั้นเจ้าตัวปะทะกับ เซร์คิโอ้ รามอส ได้รับบาดเจ็บจนถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม
ขณะที่กุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ นี่คือการเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งที่ 4 ของเขา 3 ครั้งก่อนหน้านี้แพ้ 2 ชนะ 1 เริ่มจากสมัยที่คุม ดอร์ทมุนด์ เมื่อปี 2013 พ่ายให้กับ บาเยิร์น มิวนิค 1-2 ตามด้วยการพา ลิเวอร์พูล เข้าชิงปี 2018 แพ้ เรอัลมาดริด 1-3 และหนที่ 3 ชนะ สเปอร์ส2-0 เมื่อปี 2019 คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าการดวลกับ เรอัล มาดริด ครั้งนี้ไม่ใช่การล้างแค้น พร้อมกับยกย่อง คาร์โล อันเชล็อตติ เป็นกุนซือที่ยอดเยี่ยม
“ผมไม่มีความคิดเรื่องการล้างแค้นอยู่ในหัว จริงอยู่เมื่อปี 2018 มันเป็นค่ำคืนที่เลวร้ายสำหรับเรา ทั้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้น วิธีที่เราเสียประตู รวมไปถึงอาการบาดเจ็บของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เรากรำศึกมาอย่างหนักก่อนจะเข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่ก็มาเสียผู้เล่นคนสำคัญ ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครแทนซาลาห์ ได้” คล็อปป์ กล่าว
“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2018 แต่ผมไม่คิดว่านี่จะเป็นการล้างแค้น และไม่เชื่อว่ามันจะช่วยกระตุ้นหรือช่วยให้อะไรดีขึ้น ผมเข้าใจในสิ่งที่ ซาลาห์ พูด เขาต้องการทำให้มันถูกต้อง ผมเองก็เช่นกัน แน่นอนว่าการเจอกับ เรอัล มาดริด นั่นคือเกมระดับสูงซึ่ง คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือของพวกเขาคือหนึ่งในคนที่สุดที่สุดที่ผมเคยพบ เขายอดเยี่ยมและเป็นสุภาพบุรุษ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่มันอาจจะเบาบางไปบ้างในตอนที่เขาคุมเอฟเวอร์ตัน ผมยังให้ความเคารพเขาอยู่เสมอ”
ความพร้อมล่าสุด บรรดานักเตะที่บาดเจ็บต่างหวนกลับมาซ้อมได้แล้วทั้งฟาบินโญ่ และเฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค ส่วนธีอาโก้ อัลคันทาร่า ตามรายงานแยกซ้อมเดียวอาจจะต้องรอทดสอบความฟิตจนนาทีสุดท้าย ที่เหลือไม่มีปัญหาอะไร เจอร์เก้น คล็อปป์ ยึดระบบการเล่น 4-3-3 ส่งเฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค ลงคุมแนวรับร่วมกับ อิบราฮิม่า โกนาเต้ โดยมี โฌแอล มาติ๊ป เป็นตัวสอดแทรก ส่วนแดนกลางนำโดยกัปตันทีม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่ และธีอาโก้ อัลคันทาร่า ที่คอยคุมจังหวะเกมคอยป้อนบอลให้กับสามแนวรุกอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และหลุยส์ ดิอาซ
ทางฝั่ง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริดเป็นเจ้าของแชมป์รายการนี้มากที่สุด 13 สมัยจากการเข้าชิงมาทั้งหมด 16 ครั้ง พวกเขาเดินหน้าทวงบัลลังก์คว้าแชมป์ลาลีกา สเปนมาครองได้สำเร็จ ทำให้ คาร์โล อันเชล็อตติกลายเป็นกุนซือคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ครบทั้ง 5 ลีกใหญ่ของยุโรป ไล่ตั้งแต่ เอซี มิลาน(อิตาลี) 2003-04, เชลซี (อังกฤษ) 2009-10, เปแอสเช (ฝรั่งเศส) 2012-13, บาเยิร์นมิวนิค (เยอรมนี) 2016-17 และ เรอัลมาดริด (สเปน) 2021-22 และยังเป็นกุนซือคนแรกที่คุมทีมในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก 5 ครั้ง
ก่อนเริ่มเกมกุนซือ คาร์โล อันเชล็อตติ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงสื่อถึงประเด็นที่ โมฮาเหม็ดซาลาห์ แนวรุกคู่แข่งที่อยากจะแก้แค้นพวกเขา ว่านี่คือแรงกระตุ้นชั้นดีสำหรับพวกเขา และยังย้อนอดีตว่า มาดริด เองก็เคยแพ้ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงเมื่อปี 1981 สำหรับเขาก็เหมือนกับการล้างแค้นเช่นกัน
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนการแข่งขันในเกมนี้ จะเป็นแรงกระตุ้นชั้นดีสำหรับพวกเรา เรอัล มาดริด เองก็เคยแพ้ให้กับลิเวอร์พูลมาแล้วในเกมนัดชิงชนะเลิศรายการนี้ที่ปารีสเมื่อปี 1981 สำหรับเรามันอาจจะเป็นการล้างแค้นเหมือนกัน” อันเชล็อตติ กล่าว “ตัวผมเองก็เคยพ่ายแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงชนะเลิศสมัยที่ยังค้าแข้งกับ โรม่า เมื่อปี 1984รวมไปถึงตอนเป็นกุนซือกับเอซี มิลาน กับโศกนาฏกรรมที่อิสตันบูลในปี 2005”
ขณะที่ความพร้อมจะได้ ดาวิด อลาบา ปราการหลังคนสำคัญที่หายจากอาการบาดเจ็บกลับมา ซึ่งกุนซือ คาร์โล อันเชล็อตติ คอนเฟิร์มด้วยตัวเองว่าแข้งทีมชาติออสเตรียจะมีส่วนร่วมในเกมนี้
อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังแย้มว่าจะส่งเอแดน อาซาร์ และแกเร็ธ เบล ลงเล่นด้วย แต่ตามทรงคือสตาร์ทที่ม้านั่งสำรอง ที่เหลือแกนหลักอยู่กันครบไม่มีอะไรให้ต้องกังวลมาในระบบ 4-3-3 แผงมิดฟิลด์ใช้สามตัวเก๋าอย่าง ลูก้า โมดริช, คาเซมิโร่ และโทนี่ โครสส่วนเกมรุกขยับเอา เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ ขึ้นไปประสานงานกับ คาริม เบนเซม่า และวินิซิอุส จูเนียร์
สถิติการพบกันของทั้งสองทีมดวลกันมาในบอลยุโรป 8 ครั้ง ลิเวอร์พูล ชนะได้ 3 เสมอ 1 เรอัล มาดริด ชนะ 4 ที่น่าสนใจคือ 5 ครั้งหลังสุด “ราชันชุดขาว” ไม่เคยปราชัยให้กับ “หงส์แดง” เลย ชนะได้ 4 และเสมอ 1
ขณะที่การดวลกันในรอบชิงชนะเลิศของสองทีมนี้ เกิดขึ้น 2 ครั้งด้วยกัน หนแรกคือปี 1981 เกมนั้นเล่นกันที่ พาร์ค เดอ แพร็งส์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ลิเวอร์พูล เฉือนเอาชนะไปได้ 1-0 จากประตูชัยของ อลัน เคนเนดี้
อีกหนคือเกมนัดชิงชนะเลิศในปี 2018 ฟาดแข้งกันที่ โอลิมปิสกี้ เนชั่นแนล สปอร์ตส์คอมเพล็กซ์ ในกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เรอัล มาดริด เอาชนะ ลิเวอร์พูล 3-1จุดเปลี่ยนสำคัญคือการบาดเจ็บของโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ปะทะกับ เซร์คิโอ้รามอส ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกจนถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม และความผิดพลาดของผู้รักษาประตู “หงส์แดง” ลอริส คาริอุส
ส่วนการเจอกันของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ และคาร์โล อันเชล็อตติ ดวลกันมาทั้งหมด 10 ครั้งในทุกรายการ “อันเช่”ถือเป็นของแสลงสำหรับ คล็อปป์เพราะ คล็อปป์ ชนะได้แค่ 3 เสมอ 3 และแพ้ 4
บริษัทพูลถูกต้องตามกฎหมายของอังกฤษ ระบุว่า ลิเวอร์พูล มีภาษีดีกว่าที่จะเป็นแชมป์ในอัตราล่าสุดชนะใน 90 นาที อยู่ที่ 11-10 ขณะที่ เรอัลมาดริด อยู่ที่ 12-5 ส่วนโอกาสเสมอกันในเวลาอยู่ที่ 11-4 โดยผู้ทำประตูแรกเต็ง 1 คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, เต็ง 2 คาริมเบนเซม่า, เต็ง 3 ดีโอโก้ โชต้า,เต็ง 4 ซาดิโอ มาเน่ และเต็ง 5 โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ กับ มาริอาโน่ ส่วนการชูถ้วยแชมป์ในท้ายที่สุด หรือ Lift the trophy อยู่ท่ี ลิเวอร์พูล 4-7 เรอัล มาดริด 7-5 สำหรับสกอร์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดคือ ลิเวอร์พูล ชนะ 2-1 อัตรา 9-1 ตามที่เสมอกัน 1-1 อัตรา 36-5, ลิเวอร์พูล ชนะ 1-0 อัตรา 19-2, ลิเวอร์พูล ชนะ 2-0 อัตรา 23-2 และเรอัล มาดริด ชนะ 2-1 อัตรา 13-1
11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลิสซอน เบ๊คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, อิบราฮิม่า โกนาเต้, เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, ธีอาโก้ อัลคันทาร่า,โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และหลุยส์ ดิอาซ
เรอัล มาดริด (4-3-3) : ตีโบต์กูร์กตัวส์, ดานี่ การ์บาฆาล, เอแดร์ มิลิเตา, ดาวิด อลาบา, แฟร์กลองด์ เมนดี้, ลูก้า โมดริช, คาเซมิโร่, โทนี่ โครส, เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้, คาริม เบนเซม่า และวินิซิอุส จูเนียร์
สกอร์ที่คาด : ลิเวอร์พูล 2-1 เรอัลมาดริด
เส้นทางการเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
l ลิเวอร์พูล
รอบแบ่งกลุ่ม
อยู่ในกลุ่มบี ร่วมกับ แอตเลติโก มาดริด, ปอร์โต้ และเอซี มิลาน
เข้ารอบด้วยการคว้าแชมป์กลุ่ม ชนะทั้ง 6 เกมเก็บ 18 คะแนนเต็ม
รอบ 16 ทีม
เลกแรก (เยือน) ชนะ อินเตอร์ มิลาน 2-0, เลกสอง (เหย้า) แพ้ อินเตอร์ มิลาน 0-1
เข้ารอบด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 2-1
รอบก่อนรองชนะเลิศ
เลกแรก (เยือน) ชนะ เบนฟิก้า 3-1, เลกสอง (เหย้า) เสมอ เบนฟิก้า 3-3
เข้ารอบด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 6-4
รอบรองชนะเลิศ
เลกแรก (เหย้า) ชนะ บียาร์เรอัล 2-0, เลกสอง (เยือน) ชนะ บียาร์เรอัล 3-2
เข้ารอบด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 5-2
l เรอัล มาดริด
รอบแบ่งกลุ่ม
อยู่ในกลุ่มดี ร่วมกับ อินเตอร์ มิลาน, เชอริฟฟ์ ติราสปอร์ และชัคตาร์ โดเน็ทส์ค
เข้ารอบด้วยการคว้าแชมป์กลุ่มจากการชนะ 5 แพ้ 1 มี 15 คะแนน
รอบ 16 ทีม
เลกแรก (เยือน) แพ้ เปแอสเช 0-1, เลกสอง (เหย้า) ชนะ เปแอสเช 3-1
เข้ารอบด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 3-2
รอบก่อนรองชนะเลิศ
เลกแรก (เยือน) ชนะ เชลซี 3-1, เลกสอง (เหย้า) แพ้ เชลซี 1-3 (ต่อเวลาแพ้ 2-3)
เข้ารอบด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 5-4
รอบรองชนะเลิศ
เลกแรก (เยือน) แพ้ แมนฯซิตี้ 3-4, เลกสอง (เหย้า) ชนะ แมนฯซิตี้ 2-1
(ต่อเวลาชนะ 3-1)
เข้ารอบด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 6-5
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี