การมาถึงพรีเมียร์ลีกของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำให้ตำแหน่งดาวยิงของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างแทบจะสิ้นเชิง หลังจากก่อนหน้านั้น แฮร์รี่เคน ยึดสัมปทานความสำเร็จนี้มา 2 ปีติดต่อกัน
ซีซั่น 2016 กับ 2017 ดาวยิงกัปตันทีมชาติอังกฤษ ของ “ไก่เดือยทอง” สเปอร์ส ครองดาราซัลโวพรีเมียร์ลีกต่อเนื่อง ด้วยการยิง 25 ประตู กับ 29 ประตูแต่มาถึงฤดูกาล 2017-18 ซาลาห์ กลายเป็นผู้เล่นแนวรุกด้านข้างคนแรกที่ครองรางวัลดาวยิงสูงสุดของพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ก่อตั้งในซีซั่น 1992-93 เป็นต้นมา
ซาล่าห์ ครองตำแหน่งนี้ด้วยการยิงถึง 32 ประตูในซีซั่นแรกกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จากนั้นในปีรุ่งขึ้น ซาลาห์ ก็ได้ตำแหน่งนี้อีกครั้ง หลังจากยิงไปอีก 22 ประตูครองรางวัลร่วมกับ ปิแอร์ เอเมอริคโอบาเมยัง ของอาร์เซน่อล และซาดิโอ มาเน่ เพื่อนร่วมทัพหงส์แดง ทำให้ปีนั้นเป็นครั้งที่ 3 ที่มีคนครองตำแหน่งนี้ร่วมกันถึง 3 คน
แต่นับเป็นหนแรกที่ดาวยิงสูงสุดทั้ง 3 คน ไม่ได้เล่นตำแหน่งกองหน้าอาชีพ เพราะการยืนปีนั้น ซาลาห์, มาเน่ และโอบา ต่างยืนริมเส้น อีกทั้งยังเป็นชาวแอฟริกาทั้งหมด
มาถึงปี 2019-20 เจมี่ วาร์ดี้ดาวยิงฮอตแอนท์ที่เป็นฮีโร่ของชาวเลสเตอร์ ซิตี้ ผงาดครองรองเท้าทองคำได้เมื่อซัดไป 23 ประตู และปีต่อมา เคนขึ้นมายึดตำแหน่งนี้ได้อีกครั้งเป็นสมัยที่ 3 จากการซัดไปที่ตัวเลข 23 ประตูเช่นกัน
ในซีซั่นล่าสุด 2021-22 โม ซาล่าห์ผงาดครองตำแหน่งนี้เป็นสมัยที่ 3ด้วยการยิงได้จำนวนพิมพ์นิยม 23 ประตู เท่ากับ ซน ฮึง มิน ดาวเตะโอปป้า ของ สเปอร์ส
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับปีนี้ก็คือ เคน กับ ซาล่าห์ ต่างครองบัลลังก์ดาวยิงมาแล้วคนละ 3 สมัย หากใครทำได้หรือได้เท่ากัน จะทำสถิติทาบ เธียร์รี่ อองรี ตำนานดาวยิงของอาร์เซน่อล ที่ทำเอาไว้ 4 สมัยในยุคเรืองรองช่วงต้นมิลเลนเนี่ยม
อย่างไรก็ดี โฟกัสตอนนี้กลับกลายเป็นหักหัวไปหาดาวยิงหน้าใหม่ของลีกนั่นคือ เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาลันด์ ปีศาจจากนอร์เวย์ ของ แมนฯซิตี้ กับ ดาร์วิน นูเญซ หอก 8 แพ็กจากอุรุกวัย ของ ลิเวอร์พูล
ทั้งสองคนได้ปะทะกัน “ยกแรก” เรียบร้อยในศึกเดอะ ชิลด์ ที่คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม และเป็น ดาร์วิน นูเญซ ที่ได้รับการชูมือก่อน
เบราท์ ฮาลันด์ อยู่ในสนามเต็มเวลาแต่ยิงไม่ได้กับโอกาสที่เกิดขึ้นควรจะมี 2 ประตู ผิดกับ ดาร์วิน ที่ลงมาครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของเกม และทำให้ทีมได้จุดก่อน ก่อนจะโขกประตูตอกฝาโลง
นูเญซถูกนำตัวเข้ามาแทนที่ดาวดังทีมชาติเซเนกัล หลังจากเกิดความประทับใจที่เขาทำประตูให้หงส์แดงในรอบน็อกเอาท์ของแชมเปี้ยนส์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ในช่วงปรีซีซั่น มีการล้อเลียนทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งผู้จัดการทีม เจอร์เก้นคล็อปป์ อธิบายว่าเป็น “เรื่องตลก”และ “ไร้สาระ” อย่างที่สุด เกี่ยวกับการสัมผัสครั้งแรกของผู้เล่น แต่นักเตะวัย 23 ป ีรายนี้ศอกกลับความสงสัยด้วยการทำ 4 ประตูในเกมอุ่นแข้งกับ ไลป์ซิก
ที่สำคัญก็คือ การเริ่มต้นเหมือนความฝันกับการเริ่มต้นในชีวิตในอังกฤษด้วยการลุกจากม้านั่งสำรองเพื่อทำให้ทีมได้จุดโทษ นำมาสู่ประตูที่ 2 ของทีม และโหม่งประตูของตัวเองย้ำชัย
“ดี!!!!ดีมาก และเขาจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป” คล็อปป์ พูดถึง นูเญซ “เมื่อเขาลงมา เราจ่ายบอลแต่ละลูกเพื่อให้เขาไล่ตาม เขาจัดการกับมันได้อย่างยอดเยี่ยม เราอดทนและเรารู้ว่าเขาสามารถทำสิ่งดีๆ ได้ ปฏิกริยาของเขาในวันนี้จากม้านั่งสำรองนั้นยอดเยี่ยมมาก เช่นเดียวกับทุกคนที่ลงมา”
“เราทุกคนรู้ว่ากองหน้าเป็นสายพันธุ์พิเศษ” คล็อปป์ กล่าวเสริม “ทุกคนต้องการแง่บวกและสำหรับกองหน้าที่มีเป้าหมายและมีส่วนร่วมกับเป้าหมายผมดีใจกับเขาจริงๆ ซึ่งคุณคงเห็นใบหน้าของทุกคนว่า พวกเขามีความสุขแค่ไหน และนั่นเป็นสัญญาณที่ดีจริงๆ”
ฟากฝั่งตรงกันข้าม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่เชือด ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้วด้วยคะแนนเดียว คว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 4 ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
แต่พวกเขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในแนวรุก เมื่อ ราฮีม สเตอร์ลิ่งขายให้เชลซีในราคา 50 ล้านปอนด์ และกาเบรียล เฮซุส ก็ย้ายไปอาร์เซน่อลด้วยค่าตัว 45 ล้านปอนด์ และเป็น ฮาลันด์ที่เข้ามา
ฮาลันด์ ผู้ที่ได้รับการยกย่องอย่างมากจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเยอรมนี ซึ่งเขายิงไป 86 ประตูจาก 89 เกม
“ฮาลันด์ มีโอกาส 2 หรือ 3 ครั้งในครึ่งแรกและอีกหนึ่งครั้งในตอนทดเวลาเจ็บ” เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กล่าว “เขาเคลื่อนไหวตลอดเวลา และเป็นการดีสำหรับเขาที่จะเข้าใจและเห็นความเป็นจริงของประเทศใหม่และลีกใหม่ ซึ่งผมมองว่า เขาอยู่ในจุดที่ดี เพียงแต่ไม่มีชื่อในการทำสกอร์แค่นั้นเอง”
ในฐานะกองหน้าตัวกลางคนใหม่ ซึ่งเป็นบทบาทที่ซิตี้ไม่ได้ใช้เป็นประจำนับตั้งแต่การจากไปของ เซร์คิโอ “กุน” อเกวโร่ทำให้ แมนฯซิตี้ จะต้องปรับตัวเข้ากับฮาลันด์ ให้มากที่สุด
เท่าที่ฮาลันด์ ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับแมนฯซิตี้
จุดที่น่าสนใจก็คือ ฮาลันด์ ถูกปฏิกิริยาจากเพื่อนร่วมทีมคนสำคัญอย่าง มีเควิน เดอ บรอยน์ แสดงความไม่พอใจหลังจากที่ ฮาลันด์ ไม่จ่ายบอลให้ แต่ฮาลันด์ เองก็โกรธ ริยาด มาห์เรซ เช่นกัน ที่ไม่ยอมจ่ายในจังหวะที่เขานั้นเป็นตัวเลือกซึ่งอยู่ในจุด และตำแหน่งที่ดีกว่า
โดยรวมแล้ว ฮาลันด์ สัมผัสบอลได้เพียง 16 ครั้งใน 97 นาทีในสนามเขาผ่านบอลสำเร็จ 7 ครั้งจากการจ่ายเพียง 9 ครั้งที่เขาพยายามในเกมนี้
สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ ฮาลันด์ อันตราย ทำให้แนวรับลิเวอร์พูล ไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่เสี้ยววินาที ทิศทางการเล่นจึงไม่เห็นการเดินขึ้นมาแบบ “ไฮจ์ไลน์”แต่ใช้การ “ปักหลัก” เพื่อไม่เปิดพื้นที่ให้ฮาลันด์ ได้พลิกตัว
เป๊ป บอกด้วยว่า เขาไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับ ฮาลันด์ เลย เพราะเขาเชื่อว่าฮาลันด์ กำลังจะช่วยทีมให้สู่เป้าหมายในอนาคต
ดังนั้น แม้ผลงานของทั้งสองแข้งใหม่อาจจะสวนทาง แต่สิ่งที่ทุกคนไม่ต้องแกล้งลืม
เพราะนี่คือการเริ่มต้นเท่านั้น.....ของจริงจะต้องพิสูจน์กันด้วยกาลเวลา
โดยเฉพาะยุคใหม่ที่คนดูบอล “ลืมง่าย” และ “หงายเหงือก” กันได้ตลอดเวลา
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี