ศึกบิ๊กแมทช์ประจำวันอาทิตย์นี้ คือเกมที่แอชเบอร์ตัน โกรฟทางตอนเหนือของลอนดอน ระหว่าง “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล
มันอาจจะไม่ใช่การบดบี้แชมป์โดยตรง แต่มันมีเนื้อในที่สอดแทรกสอดไส้อะไรได้หลายอย่าง
ที่ผ่านมาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 เป็นต้นมา ลิเวอร์พูล เวียนวนในการล่าลุ้นแชมป์ลีก และประสบการณ์ความสำเร็จในซีซั่น 2020
ยุติการรอคอย 30 ปี
ขณะที่ อาร์เซนอล ไม่ได้แชมป์ลีกอีกเลย นับตั้งแต่แชมป์สุดยอดไร้พ่ายปี 2004 นับจากวันนี้น่าตกใจเหมือนกันที่มันมาถึงตัวเลข 18 ปีแล้ว
โดยเฉพาะการอำลาของ อาร์แซน เวงเกอร์ และได้ อูไน อเมรี่เข้ามาทำงาน กระทั่งตัดสินใจมาเสี่ยงกับคนหนุ่มที่ยังไม่เคยทำงานที่ใดมาก่อนในฐานะผู้นำอย่าง มิเกล อาร์เตต้า
ทุกสิ่งอย่างทำท่าจะดีเมื่อ อาร์เตต้า มารับงานปลายปี 2019 และพาทีมได้แชมป์ทันทีนั่นคือ เอฟเอ คัพ แต่การออกสตาร์ทเมื่อปีก่อนทำให้ อาร์เตต้า เกือบตกงานหลังจากเกมพ่ายให้กับ แมนฯซิตี้ กระจุย 0-5 แต่ สแตน โครเอนเก้ เจ้าของทีมยังให้โอกาสได้ทำต่อ
ไม่รู้ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ไม่อยากจ่ายเงินค่าชดเชย หรือหากุนซือใหม่ พอทุกอย่างไปต่อ อาร์เตต้า เริ่มที่จะค่อยๆ พาทีมเดินมาอย่างน่าสนใจ
พวกเขาออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยมในซีซั่นนี้ และการลงเล่นทุกรายการ 10 นัด ชนะ 9 ดีที่สุดเป็นครั้งที่ 3 ของสโมสร เท่ากับปี 1903 กับ 2007
อาร์เตต้า กล่าวก่อนเกมว่า ผมยกเครดิตให้กับทุกคนกับการทำงานที่สำคัญในครั้งนี้ ทำให้เราออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งแตกต่างกับซีซั่นที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
อาร์เตต้า ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กดดันอย่างที่สุดเมื่อต้นฤดูกาลก่อน หลังจากแพ้ 3 นัดรวด ก่อนจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้สำเร็จ และเกือบได้ตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีก
“ผมมีความสุขมากๆ และภูมิใจกับการเปลี่ยนแปลงของไดนามิก และบรรยากาศรอบๆ ของสโมสร สำคัญที่สุดก็คือ เราจะต้องมองไปข้างหน้าต่อไปให้ไกลๆ เพื่อให้รู้ว่า เราอยากจะอยู่กันตรงไหน ซึ่งตอนนี้เรายังไปไม่ถึง”
“วิธีการที่จะวัดได้ว่า คุณคือใคร ไม่ใช่เพียงแต่การชูถ้วยรางวัลเท่านั้น สิ่งนั้นคือรูปธรรมที่ชัดเจน แต่สิ่งที่คุณต้องเข้าใจก็คือ การทำงานอย่างหนัก เพื่อให้ยืนหยัดสู่มาตรฐานที่ต่อเนื่อง ชัดเจน สิ่งที่เราทำได้ ณ เวลานี้คือความน่าพึงพอใจ ทุกคนควรได้รับเครดิต”
อาร์เตต้า ระบุว่า การเจอกับ ลิเวอร์พูล เป็นโปรแกรมที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เป็นคู่แข่งที่อยู่ในระดับสูงสุดต่อเนื่องหลายต่อหลายปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ให้รู้เหมือนกันว่า เวลานี้อาร์เซนอล อยู่ตรงจุดไหน สามารถจะแข่งขันกับ ลิเวอร์พูล ได้หรือไม่
“ตารางคะแนนอาจจะเห็นได้ว่า เราเหนือกว่าพวกเขา 11 แต้มแต่เรายังไม่รู้เลยว่า เราจะสู้กับพวกเขาได้แค่ไหน”
ทางด้าน เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาติเยอรมนี ที่พาลิเวอร์พูล เล่นเต็มแม็กซ์ 63 เกม 4 ถ้วย ได้มา 2 แชมป์ แต่มันยังไม่พอใจขดไส้ของแฟนบอลบางส่วน เพราะถ้วยใหญ่ไม่สัมฤทธิ์ และมันเจ็บปวดเพราะแพ้ แมนฯซิตี้ คะแนนเดียวอีกครั้งในพรีเมียร์ลีกและพ่าย เรอัล มาดริด อีกทีในแชมเปี้ยนส์ลีก ไฟนอลส์
“หงส์แดง” ดูน่ากลัวเมื่อหักเสากระโดงเรือ แมนฯซิตี้ ในคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม เด็ดขาด 3-1 แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ดูดิ่งลงไป นับตั้งแต่เสมอกับ คริสตัล พาเลซในถิ่น 1-1 พร้อมกับใบแดงของ ดาร์วิน นูเญซ
เหตุจากวันนั้น สะท้อนถึงนาทีปัจจุบัน สองทีมสถานการณ์ในบอลลีกแตกต่าง เพราะ อาร์เซนอล ปรุงมาจนกำลังได้สูตรที่ลงตัว ขณะที่ ลิเวอร์พูล กำลังต้องหาทางออกจากรสชาติเดิมๆ
อาร์เซนอล กำลังทำเพื่อขึ้นไปสู่บนยอด ขณะที่ ลิเวอร์พูล กำลังทำยังไงก็ได้เพื่อไม่ให้ลงมาจากบนยอด
อาร์เตต้า ได้ทีมที่ลงตัวแล้ว หลังจากทดลองมานานมาก โดยเฉพาะกับระบบการเล่นที่โครงร่างสร้างมาเป็น 4-2-3-1 ที่ยืดหยุ่นเสมือนว่าเป็น 4-3-3 ในบางจังหวะด้วยซ้ำในยุคปัจจุบัน
ขณะที่ คล็อปป์ กำลังจะเข้าสู่โหมดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นั่นคือ 4-3-3 ที่ชาญยุทธ์ เล่นมายาวนานนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เมื่อปลายปี 2015 มันอาจจะถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงไป เมื่อคุณภาพผู้เล่นมันไม่เหมือนเดิม
อาร์เซนอล เติมขุนพลใหม่เข้ามาได้อย่าง “พอดีคำ” เมื่อนักบอลมันเคมีตรงกันแล้ว ยังมีศักยภาพที่ดีกว่าเดิม ช่วยยกระดับความสามารถให้กับทีมได้อย่างน่าสนใจ
โอเล็กซานเดอร์ ซินเชงโก้ ดีกว่า คีแรน เทียร์นี่ย์ และ กาเบรียลเฮซุส ดูเหลื่อมกว่า อเล็กซงดร์ ลากาแซตต์ มันคล้ายกับการมาก่อนหน้านี้ของ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่ดีกว่า เอมิล สมิธ โรว
จุดหนึ่งก็คือ การปรับตำแหน่ง, แท็กติก และทัศนคติบางอย่างของ อาร์เตต้า ทำให้ อาร์เซนอล มีพลังในการเล่น และความลงตัวที่น่าสนใจมากๆ
เบน ไวท์ ถูกขยับมาเล่นแบ๊กขวา จะชั่วคราวหรือตลอดไปไม่รู้ แต่เมื่อคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟตอนนี้ กาเบรียล มากัลเญส กับ วิลเลี่ยมซาลิบา ลงตัวมากๆ และเวลาสร้างเกมจากแนวลึก 3 คนนี้สามารถยืนขึงเหมือน 3 เซ็นเตอร์แบ๊ก เพื่อเปิดทางไปขึ้นเกมของ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชงโก้ ที่เหมือนโควตาของมิดฟิลด์ตัวพิเศษ
ไวท์ อาจจะไม่ได้ดีไปกว่า ทาเคฮิโร โตมิยาสึ ในเรื่องของการเติมเกมบุก หรือความเป็นธรรมชาติ แต่นัยหนึ่ง ไวท์ สามารถเข้าไปซ้อนตำแหน่งการยืนของ ซาลิบา และมากัลเญส ได้บ่อยครั้ง บวกกับการไม่ได้เล่นแบบ “ขึงไลน์โฟร์” แต่เล่นแบบบิ้วท์ด้วย “แบ๊กทรี”มันได้ผลกว่า และส่งผลต่อการเล่นอีก 3 จุดด้วยกัน
แรกเลยก็คือในตำแหน่งของ ซินเชงโก้ ที่อธิบายไปแล้วต่อด้วยสองคือ เมื่อ ซินเชงโก้ ขยับขึ้นไป ทำให้ กรานิต ชาก้าได้ขยับขึ้นสูง เป็นตำแหน่งใหม่ที่น่าสนใจ จากเดิมที่ยืนอยู่ต่ำ ตอนนี้ชาก้า มีประโยชน์มากในแดนสาม
อีกหนึ่งจุดคือ สาม นั่นคือตำแหน่งของ โอเดการ์ด จากเดิมที่ยืนปักหมุดเหมือนอยู่หลังกองหน้า แต่ปีนี้ โอเดการ์ด ขยับตัวเองออกทางขวามือมาประมาณ 5 หลา เพื่อมาร่วมเล่นกับ บูคาโย่ซาก้า และเปิดทางให้ ชาก้า ได้สอดขึ้นมา
นอกจากนี้ เมื่อย้อนหมุดไปที่ ไวท์ เมื่อเขาไม่ได้มีเกมรุกที่โดดเด่น แต่การขยับมาของ โอเดการ์ด ทำให้การเชื่อมด้านขวาดีขึ้น รวมถึงมีตัวช่วยเบรกในเกมรับมากขึ้นไปด้วย
มันเหมือนกับการวิ่งที่หมุนไปอย่างมีนัยสำคัญ การเคลื่อนตัวจึงสำคัญมากๆ ในระบบนี้ ซึ่งอาจจะบอกเหตุได้ว่า ทำไมคนนี้ถึงได้เล่น และคนนี้ทำไมถึงเล่นได้ดีขึ้น
หมุดหมายแบบนี้ต้องมีนักบอลคนสำคัญอย่าง โธมัส ปาเตย์ที่ดีมากๆ กับบอลในลักษณะแบบนี้ ไม่ต้องเคลื่อนมาก เพราะมีตัวเคลื่อนให้ ยืนนิ่งๆ คอยออกบอล คอยสอดซ้อน และมีช่องให้ออกบอลไปหลายจุด
หลายคนอาจจะมองว่า อาร์เตต้า ใช้สูตรอดีตนายเก่าอย่าง เป๊ป แถมมีบุคลิกท่าทางตื่นตัว (ซึ่งบางครั้งดูตื่นตูม) คล้ายๆ กัน แต่หลายจุด ผมมองว่า อาร์เตต้า ใช้แนวจาก คล็อปป์ มาทำงานด้วยนั่นคือการให้ความสำคัญของผู้เล่นแนวรุกด้านข้าง
ทั้งหมดที่ฉายภาพออกมา ไม่แปลกใจว่า ทำไม อาร์เซนอล จึงเล่นเพรสซิ่งได้อย่างเต็มสูตร เมื่อนักบอลเข้าใจในปรัชญา และแท็กติกของโค้ช การได้นักบอลคุณภาพมาเพิ่ม มีพิษสงรอบตัวกล้าเล่น และเมื่อยิ่งกล้ายิ่งทำได้
ฝั่ง ลิเวอร์พูล นักบอลใหม่ ต้องปรับใหม่ทั้งหมดกับ “วิธีการ”และเมื่อไม่ได้ปรับกันต่อเนื่องเพราะการติดโทษแบน 3 เกมของนูเญซ มันทำให้ทิศทางที่วางเอาไว้ต้องเปลี่ยน บวกกับสถานการณ์อาการบาดเจ็บที่มาตอแยที่แดนกลาง ดันมาพร้อมๆ กัน ทำให้ทีมที่กำลังหาแนวทาง กลายเป็นไร้ทิศทางหางเสือ
ชัยชนะเหนือ บอร์นมัธ 9-0 กลายเป็นแค่ภาพลวงตา หลังจากที่ทีมดิ้นรนกว่าจะชนะ นิวคาสเซิ่ล ก่อนจะเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน และเกมก็เลื่อนไป 2 นัด จนถึงนัดล่าสุดที่เสมอกับ ไบรท์ตัน 3-3
อันที่จริง ลิเวอร์พูล ไม่ได้เป็นทีมที่จ่ายบอลแม่น แต่เป็นทีมที่แย่งบอลเก่ง และใช้จังหวะไม่เยอะในการทำประตู ใช้ความเข้าใจบวกกับความแม่นยำในการเล่น อีกทั้งเรื่องการเพรสต้องยกให้เป็นลำดับท็อป ไม่ได้เพรสแบบบ้าคลั่งเหมือน 3 ปีก่อน แต่การเพรสทีละแผงนี่สร้างความอันตรายสำหรับคู่แข่งอย่างมาก
แต่ปีนี้ ลิเวอร์พูล ดูขาดหายไป ไร้ความกระชุ่มกระชวยโดยเฉพาะแดนกลางที่เป็นหมุดหมายแห่งชัยชนะ ไม่ได้อยู่ในฟอร์มและสภาพที่จะเล่นในแบบเดิมได้ เพราะพละกำลัง และขีดความสามารถมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วกับทีมที่มีอยู่
ลองนึกสภาพ 11 ตัวจริง จากทีมที่เริ่มต้นสตาร์ทลุ้นแชมป์ทุกสิ่งเมื่อปี 2018
ทุกวันนี้ผ่านมาจากวันนั้น 4 ปีแล้ว ยังสตาร์ทเป็นตัวจริงถึง 9 คน
มันอาจจะไม่ใช่เงื่อนไขของอายุเพียงอย่างเดียว แต่มันด้วยเงื่อนไขของกาลเวลา วิธีการ และสมควรจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง สำคัญก็คือการโดนอ่านถึงไส้ของแผนฟุตบอล
แสงสว่าง(หรือเปล่า)อันนี้ไม่ทราบได้ เมื่อ คล็อปป์ เปลี่ยนปรัชญาของตัวเองเมื่อกลางสัปดาห์ที่ชนะ เรนเจอร์ส เอฟซี ในศึกแชมเปี้ยนส์ลีก 2-0 ด้วยการปรับทีมจาก 4-3-3 มาเป็นแผนสแตนดาร์ด 4-4-2
เป็นแผนเบสิก แต่ไม่ได้เล่นแบบเบสิก
อย่างน้อยก็ได้เห็นว่า ทีมรู้สึกมีความกระปรี้กระเปร่าในการเล่นขึ้นมา การพุ่งเข้าหาบอลเร็วขึ้น การปิดพื้นที่ดีขึ้น แน่นอนว่าการวิ่งทับไลน์กันย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะมันผิดทัศนวิสัยที่เคยเป็น
ทีนี้ คล็อปป์ เองจะกล้าเล่นสูตรนี้หรือไม่ เพราะเราเห็นว่า กลางของ อาร์เซนอล มีเห็นๆ คือ สองตัวบวก เผลอๆ สามด้วยซ้ำ
สไตล์นี้อาจเป็นไปได้ว่า วัดกันไปเลย(มั้ย)
เมื่อ อาร์เซนอล มีนักบอลที่เลี้ยงกินตัวเก่งมาก แต่คำถามคือ พวกเขาเคยถูกบีบให้จำกัดเล่นวงนอกเพียงอย่างเดียวในการเจอกับ ลิเวอร์พูล ของ คล็อปป์ เมื่อปีก่อน และการที่ อาร์เตต้า มั่นใจจนเกินไป ทำให้พังมาแทบจะทุกครั้งในการดวลกับ คล็อปป์ รวมถึงการแพ้ความอดทนและใจใหญ่ไปหน่อย จนเสร็จ เอริคเทน ฮาก เปิดแผลแรกของฤดูกาล ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เหล่านี้คือสิ่งที่น่าสนใจในคำตอบ
การลากลุยของ กาเบรียล เฮซุส ช่วยเหลือทีมมาหลายนัด เช่นเดียวกับเกมนี้ เขาต้องทำให้ได้อีก เหมือนกับปีก่อนที่เขาเล่นได้ดีมากเวลาเจอกับ ลิเวอร์พูล
ขณะที่ คล็อปป์ เองก็รู้ดีว่า สไตล์เพรสแบบ อาร์เตต้า มันก็ไม่ต่างอะไรกับเจ้าของพิมพ์เขียวอย่างตัวเขา แต่ศักยภาพของ อาร์เซนอล ดีขึ้นในปีนี้ ซึ่ง คล็อปป์ เคยโชว์วิธีแกะเพรสของกันเนอร์สให้เห็นจะจะ ในรอบตัดเชือกคาราบาว คัพ เมื่อปีก่อน จนเป็นที่มาของชัยชนะสำคัญที่รังปืน แผ้วทางไปเป็นแชมป์
ว่ากันตามเชิง อาร์เซนอล กำลังมีความมั่นใจ และเล่นด้วยความมั่นใจ ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล มีปัญหาเรื่องความมั่นใจอย่างชัดเจน จนต้องเปลี่ยนวิธีการ ดังนั้น “เรื่องใจ” เป็นสิ่งที่ใครจะแน่กว่ากัน
กลายเป็นว่า ลิเวอร์พูล ที่เคยเจอกับใคร “ฉันก็จะเล่นแบบนี้” ต้องเปลี่ยนวิธีทำ ตรงกันข้ามเราสามารถอ่านไลน์อัพของ อาร์เซนอล ได้ทันที
แท็กติกของลิเวอร์พูล เหนือกว่าแน่นอน เมื่อแยกชิ้นส่วนประกอบทั้งโค้ชและนักเตะ แต่เรื่องของความแม่นยำกับสปีดเกม อาร์เซนอล นาทีนี้เหลื่อมกว่า
เทคนิคสูสีกันอย่างที่สุด
“ตัวเปลี่ยน” นี่ก็สำคัญ มองขุมกำลัง ลิเวอร์พูล ดูมีให้เลือกมากกว่า แต่เปลี่ยนอย่างไรไม่ให้ “เป็นรอง” เพราะตอนนี้ คล็อปป์ เริ่มกลับมาเป็นคนเดิมเมื่อ 3 ปีก่อนคือ บอลหน้าเดียว เปลี่ยนเมื่อไหร่บอลไปอีกทาง
ถือเป็นเกมที่ไม่ได้ไล่ล่าแชมป์กันแบบโดยตรง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างสองทีมนี้มานาน(มาก) นับตั้งแต่โน่นเลยก็คือ ปี 1991 ซึ่ง เคนนี่ ดัลกลิช คุมหงส์ และยอร์จ เกรแฮม คุมปืน
แต่นี่เป็นเกมที่น่าดูมากที่สุดคู่หนึ่งของฤดูกาลนี้โดยแท้
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี