คู่ปะทะที่น่าจับตามอง เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค ปราการหลังพันล้านของลิเวอร์พูล กับ เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาลันด์ ดาวยิงปีศาจของ แมนฯซิตี้
การโคจรมาปะทะกันของสองทีมที่ว่ากันก่อนเปิดฤดูกาลว่าจะเป็น “คู่แย่งแชมป์แห่งยุค” นั่นคือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี กับ“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หลังจากประหักประหารกันในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ซึ่งผลตกเป็น เจอร์เก้น คล็อปป์ พาทัพหงส์แดงกำชัยอย่างเด็ดขาด 3-1 จนทำให้หลายคนมองว่า “เป็นไปได้” ที่คู่นี้จะกลายเป็น “บิ๊กทู” แล้วสู้ลุ้นแชมป์กันยาวๆ
หลังจากผ่านมาจนถึงวันนี้ ภาพที่ปรากฏนั่นก็คือ แมนฯซิตี้ วิ่งไปตามสเต็ป แต่ ลิเวอร์พูล ไม่มีตามนัด
คะแนนตอนนี้จึงมีความห่างกันอย่างเหลือเชื่อ เพราะผ่านไป9 นัด แมนฯซิตี้ มีอยู่ 23 คะแนน ขณะที่ ลิเวอร์พูล มีแค่ 10 คะแนนจาก 8 เกมแรกเท่านั้น
ปีก่อน แมนฯซิตี้ นำห่าง ลิเวอร์พูล ในช่วงหลังปีใหม่ 14 แต้มแต่หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล เหยียบคันเร่งพุ่งมาจี้ติด กระทั่งผลจบเหมือนกับปี 2019 นั่นคือ แมนฯซิตี้ เบียดเข้าป้ายแค่แต้มเดียวเท่านั้น
นั่นคงจะเป็นสิ่งที่ “เตือนสติ”ให้กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เหนือยิ่งสิ่งใด
ถ้าหากทีมของ คล็อปป์ ไม่แน่จริงคงทำแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาสในการอัดให้จมหน้าแข้ง
คนอย่าง เป๊ป จำเป็นจะต้องทำอย่างแน่นอน เพราะไม่รู้จะ“อวทม.”
ไม่ใช่ “แอร์วิทยุทะเบียนแม็กซ์” แต่เป็น “เอาไว้ทำไม”!!!
เมื่อการโคจรกันมาเจอกันยามนี้ กลับกลายเป็นว่า ว่าที่คู่แย่งแชมป์กลับมีการออกสตาร์ทที่แตกต่างไม่น่าเชื่อ
การต่อกรที่สูสีถึงขีดสุดจากซีซั่นก่อน กินกันไม่ลงเลยในลีก และจบลงด้วยผลเสมอกัน 2-2 ทั้ง 2 เกมที่เจอกัน โดยแบ่งเป็นที่แอนฟิลด์ “หงส์แดง” นำ 2 ครั้งแต่ไม่ชนะ เช่นเดียวกันกับเกมที่เอติฮัด ซึ่ง “เรือใบ” นำสองทีก็ไม่ชนะเหมือนกัน
เป็นเกมมาสเตอร์พีซ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ มีครบทุกอย่างที่ฟุตบอลคู่หนึ่งคู่ใดพึงมี
กระทั่งการมาสู้กันในรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ “หงส์แดง”กางปีกนำห่าง 3-0 ในครึ่งแรก ก่อนจะกำชัย 3-2 และก้าวไปคว้าดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยได้สำเร็จ
มาถึงเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ซึ่ง ลิเวอร์พูล ก็เอาชนะ แมนฯซิตี้ไปได้ 3-1 พร้อมกับการพังประตูของ ดาร์วิน นูเญซ ในฐานะตัวสำรองลงมาพลิกเกมทั้งเรียกจุดโทษ และพุ่งตอร์ปิโดบกโหม่งประตูแรกบนแผ่นดินผู้ดี จนได้รับเสียงชมเชยจากทุกสารทิศ
ตรงกันข้ามกับ เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาลันด์ ที่ถูกเย้ยหยันแบบสุดๆ เพียงเพราะทำประตูไม่ได้ และได้ยิงจ่อๆ ก็ไปชนคาน
ฮาลันด์ ถูก เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค กับ โฌแอล มาติ๊ป ผลัดกันจั่วอย่างเมามัน พร้อมกับปิดไลน์ไม่ให้เข้าในพื้นที่ในแนวดิ่ง บีบให้ขยับออกไปด้านข้าง และหลายจังหวะต้องหันหลังให้ประตูจนทำอะไรไม่ได้
แต่หลังจากนั้นทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแบบกลับตาลปัตรกับ “กองหน้าคนใหม่” ทั้งสองคน
ฮาลันด์ เริ่มถล่มประตูได้อย่างต่อเนื่อง ทำสถิติยิง 10 นัดติดต่อกัน พร้อมกับลงเล่นไปแล้ว 13 นัด ซัดไปถึง 20 ประตู
จนกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่กับการถล่มสถิติหลายอย่างราบเป็นหน้ากลอง พร้อมกับได้เห็น “คนพลิกลิ้น” มากมายที่ดูถูกเย้ยหยัน และใช้ผลงานยิง ยิง แล้วก็ยิง อุดปากเสียงเห่าเสียงหอน
ไม่แปลกที่หลายคนจะนำผลงานของสองคนนี้มาเทียบกันทั้งที่พูดกันตรงๆ มันคนละเวต
ฮาลันด์ผู้ลูก ผลงานชัด จึงถูกนำมา “ขยี้” เข้าใส่ ดาร์วินนูเญซ ที่กลายเป็นคนโดนถล่ม หลังจากพังประตูในเกมชิงโล่ จากนั้นก็ประสบปัญหานั่นคือความประพฤติ
ดาร์วิน ยิงได้ต่อในเกมเปิดสนามกับ ฟูแล่ม จากนั้นเขามาคุมตัวเองไม่อยู่จนถูกไล่ออก และเสียเวลาไปถึง 3 เกม กับการไม่ได้ลงสนามกอปรกับการที่ทีมเริ่มมีอาการบาดเจ็บเล่นงานในแดนกลาง ผลงานไม่เสถียร เนื่องจากเพื่อนร่วมทัพหลายคนสลับกันฟอร์มตก ก่อนจะกลับมาปรับเข้ากับทีมและลดแรงกดดันกับกระแสต่างๆ ได้ด้วยการยิงประตูมา 3 เกมติดต่อกัน
ฮาลันด์ เล่นกับทีมด้วยความมั่นใจ ขณะที่ ดาร์วิน ต้องเล่นกับทีมที่เหมือนกับไม่มีความมั่นใจหลงเหลืออยู่
ว่ากันตรงๆ ก็คือ การเข้ามาของสองคนนี้มันแตกต่างกันมาก เพราะคนหนึ่งมาอยู่กับทีมที่มีพิมพ์เขียวยาวนานรอมาเป็นปี นั่นคือฮาลันด์ กับ “แผนที่เตรียมไว้” ส่วน ดาร์วิน มาอยู่กับทีมที่ต้องเปลี่ยนพิมพ์เขียวของตัวเอง อย่าง ลิเวอร์พูล ที่ต้อง “เปลี่ยนแผนกลางทาง”
เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะได้วัดฝีมือครั้งที่ 18 บนแผ่นดินอังกฤษ
เป๊ป ซื้อ แจ๊ค กรีลิช มาเพื่อเป็นคนแผ้วทางให้กับ “กองหน้าตัวเป้า” ที่ทุกคนก็รู้ว่า “เป้าแรก” ของพวกเขาคือ แฮร์รี่ เคน แต่จนแล้วจนรอดก็ซื้อมาไม่ได้ และต้องเล่นแบบ “ฟอล์สไนน์” เป็นการแก้ไขตลอดทั้งซีซั่น แต่ก็ยังได้แชมป์พรีเมียร์ลีก
ไม่แปลกที่ กรีลิช จะถูกวิจารณ์หนัก ด้วยค่าตัวมหาศาล 100 ล้านปอนด์ แต่เมื่อ “ตัวจ่าย” ไม่มี “เป้าใหญ่” มาให้เปิด ทำให้ฟอร์มของ กรีลิช ไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย และการมาอยู่กับทีมที่ลงตัวขนาดนี้ ต้องใช้เวลาปรับตัวเป็นปี ตามวิสัยการทำงานของ เป๊ป ซึ่งตรงจุดนี้ก็ไม่ค่อยต่างจาก คล็อปป์ เท่าไหร่นัก
นักบอลบางคนอาจทำได้ทันที แต่ส่วนใหญ่ทั้ง เป๊ป และคล็อปป์ จะค่อยๆ ปล่อยลงน้ำและให้เวลา
เมื่อ ฮาลันด์ มาถึง และอาจเป็นไปได้เลยที่เกมคอมมิวนิตี้ชิลด์นั้น พวกเขาเล่นไม่ออกเนื่องจากหลายคนยังต้องการ “แมทช์ฟิต”เพราะปรีซีซั่นไปแค่ 2 เกม ก็เข้าสู่ฤดูกาลทันที
ขณะที่ ลิเวอร์พูล เป็นที่เชื่อกันว่า คล็อปป์ เองก็ไม่คิดว่าเขาจะเสีย ซาดิโอ มาเน่ ออกไปจากทีม ดังนั้นเมื่อขาดไปแล้ว ก็ต้องปรับทัพใหม่ ไลน์แรกของพวกเขาจึงจะเป็น หลุยส์ ดิอาซ ที่จะปักด้านซ้าย และรอการฉายแสงเต็มรูปแบบสักทีของ ดีโอโก้ โชต้า
แน่นอนว่า ดาร์วิน นูนเญซ เข้ามาในฐานะที่ต้องปรับตัวเข้ากับทีม แต่เมื่อทีมไร้เงา โชต้า ที่บาดเจ็บ และด้วยค่าตัวเงินสด 64 ล้านปอนด์ที่ต้องโอนให้ เบนฟิก้า ในทันที มีผลบังคับให้ ดาร์วิน เองจะต้องเข้าสู่อัตราเร่งเพื่อให้เข้ากับทีมอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่กลายเป็นว่า ระบบ 4-3-3 ที่สร้างมา 7 ปี และพร้อมชนทุกทีมบนโลกใบนี้ของ คล็อปป์ กลับกลายเป็นหอกทิ่มแทงตัวเอง หลังจากนักบอลที่เคียงบ่าเคียงไหล่เริ่มที่จะไปไม่ถึงที่เคยเป็น ไม่ใช่เรื่องของอายุ หรือวัยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของพลัง และคุณภาพที่ถูกตั้งคำถามว่า ไม่มีใครหรอกที่จะเล่นอยู่ในระดับท็อปๆ ได้ 4-5 ปีติดๆ กัน รวมไปถึงพละกำลังที่จะต้องทุ่มไปตามระบบอย่างต่อเนื่อง
เกมลิเวอร์พูลที่เคยแย่งบอลเก่ง กับการช่วยกันบีบพื้นที่ เพรสทีเล่นกันเป็นแผง ค่อยๆ หายไป และสิ่งที่ถูกวิจารณ์ในช่วงหลังคือ “ไฮจ์ไลน์” ได้หายไปเหมือนกัน โดยเฉพาะเกมกับ อาร์เซนอล นั้น เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ คล็อปป์ สั่งให้ลูกทีมรับต่ำ
ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะทีมเสียประตูจากความผิดพลาดส่วนบุคคล ผิดพลาดจากจังหวะเสียบอลกลางทางระหว่างเล่นเกมบุก ไม่ได้พังเพราะแผนเป็นลำดับแรก ดังนั้นเมื่อนักบอลไม่ได้ดันขึ้นมาเล่น ทำให้เกิดการเปิดพื้นที่ และฟุตบอลสมัยนี้หลายทีมฟิตยิ่งกว่าม้า
กองหลังก็ต้องรับไป กับฟอร์มที่ตกลงไปพร้อมกันทุกคนไม่ว่าจะเป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติ๊ป กระทั่ง เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค แต่ละคนผลัดกันพลาด ซึ่งจริงๆ แล้วก็ต้องรับผิดชอบร่วมกันตั้งแต่แนวรุก และแดนกลาง
ด้วยความที่คุณภาพลดลง ทำให้ คล็อปป์ จำเป็นต้องเปลี่ยนปรัชญาตัวเอง และเชื่อว่า เขาอาจจะต้องเปลี่ยนมาเล่น 4-4-2 แบบนี้ค่อนข้างแน่ เพราะแนวรุกไม่ได้มีใครสามารถเชื่อมจากซ้ายป่ายขวาได้แบบ มาเน่ เนื่องจากสไตล์ของแต่ละคนจะยืนห่างกัน
การพบกันครั้งล่าสุดในศึกคอมมิวนิตี้ชิลด์ ลิเวอร์พูล ชนะไปได้ 3-1
เมื่อแดนบนเพรสก็จริงแต่ยืนห่าง พอกลางขยับเข้าหา ก็โดนเคาะทะลุถึงแนวรับ ที่ก็ “ยืนห่าง” จากแดนกลาง มันทำให้ถึงเวลาจริงๆ
ปรัชญาคือเรื่องสำคัญ แต่เมื่อถึงเวลาก็อาจจะต้องปรับกันไปตามสถานการณ์ ซึ่งตรงนี้ คล็อปป์ ก็ยอมเหมือนกันที่จะลดทอนอีโก้ลงไป เพื่อให้มันไปต่อกันได้
อย่างไรก็ตาม พิมพ์เขียวที่มันไม่ได้ทำมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นทางออกจาก 4-3-3 มาเป็น 4-4-2 หรือนัยหนึ่งอาจจะเป็น 4-2-3-1หรือ 4-5-1 ตามจังหวะ มันไม่ทำให้ทีมต้องปรับเยอะ หากจะต้องเปลี่ยนจาก “ไลน์โฟร์” มาเป็น “แบ๊กทรี”
สิ่งที่ทำได้ ณ เวลานี้กับเกมนี้ก็คือ รัดกุมที่สุด มีสมาธิที่สุด และที่สำคัญก็คือ คงจะต้องท็อปฟอร์มอย่างที่สุด ในการเจอกับ แมนฯซิตี้ที่กำลังเล่นอย่างมั่นอกมั่นใจอย่างที่สุด
เป๊ป อ่านเรียบร้อยและเลือกพักนักบอลเมื่อกลางสัปดาห์ เพราะถึงจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่โคเปนเฮเกน พวกเขาก็จะไม่พลาดใน 2 เกมที่เหลือของแชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนจะได้รับผลเสมอ ซึ่งก็เพียงพอต่อการเข้ารอบน็อกเอาท์ นี่คือสิ่งที่พวกเขาเลือกได้ถูกต้องในการเก็บนักบอลคนสำคัญๆ มาสู้ที่แอนฟิลด์
เช่นเดียวกันกับ คล็อปป์ ที่มีการปรับนักเตะพอสมควรในการบุกไปเยือน เรนเจอร์ส ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยลงไปและเรียกความมั่นใจกลับมาด้วยชัยชนะ 7-1
สมัยนี้โลกเริ่มเปลี่ยน ปรับสำรองลงเล่นเกมยุโรป แล้วเอาทัพใหญ่รอไว้ใส่ยับในบอลลีก
บางคนอาจมองว่า ยิงเยอะแล้วอาจจะกระสุนหมด, อีกทีมเลือกเก็บกระสุนไว้ แต่ตอนนี้ทางเลือกของ คล็อปป์ มีอะไรได้บ้าง นอกจากต้องชนะ ชนะ แล้วก็ต้องชนะ
ขนาดชนะแล้วยังไม่วายโดนแฟนบอลบางกลุ่มวิจารณ์เสียๆ หายๆ เหมือนกับเพิ่งดูบอลเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา
เหมือนกับที่ คล็อปป์ พูดตลอดว่า สิ่งที่ต้องทำคือ งาน และงานต้องสัมฤทธิผล เพื่อให้ยุติทุกสิ่งทุกอย่างผลงานในสนามต้องมาก่อน
เมื่อว่ากันตามเชิงก่อนเกมนี้จะเกิดขึ้น แมนฯซิตี้ เหนือกว่า ลิเวอร์พูล อยู่แทบทุกด้าน ภาพที่ชัดเจนก็คือ 1.แท็กติกที่นักบอลเข้าใจทุกอย่าง 2.ผลงานภาพรวมจากการเล่นในซีซั่นนี้ 3.ความมั่นอกมั่นใจของทั้งนักเตะและผู้จัดการทีม 4.อาวุธที่มีกับตัวเลือกที่มาก
เอาแค่ 4 อย่างนี้ก็เหนือกว่าบานเบอะเยอะแยะ แต่ในความเยอะตรงนี้แหละ เป๊ป จะจัดระเบียบสังคมให้กับทีมใช้ความได้เปรียบตรงนี้ บุกมาเอาชนะให้ได้อย่างไร
ลิเวอร์พูลหลายยุคหลายสมัย จนมาถึงในยุคคล็อปป์ มักจะสร้างสิ่งที่เหลือเชื่อมากๆ ในแอนฟิลด์ โดยเฉพาะกับเกมใหญ่ หากไม่นับในช่วงปิดสนามเตะ หรือ behind the close door แล้วแฟนฟุตบอลในสนามช่วยทีมได้เยอะมากๆ
หวังว่าจะไม่เหมือนกับเกมที่ดวลกับ ไบรท์ตัน ที่อยู่ๆ เงียบหายไปกว่าครึ่งชั่วโมง ถ้าเป็น แมนยูฯ ก็คงโดน รอย คีน ด่าว่านั่งรับประทานแซนด์วิชกุ้งกันอยู่หรือยังไง
สิ่งสำคัญคือ คล็อปป์ พูดอยู่เสมอว่า อยู่ๆ ทีมขาดหายไปคือความมั่นใจ ซึ่งทุกคนก็เห็น และเข้าใจตรงกันว่า คงจะเรียกความมั่นใจกลับมาได้ ก็ด้วยผลงานที่ดี แน่นอนที่สุดก็คือ คุณต้องชนะ
นัดนี้จึงสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะแค่คิดก็จะเห็นแล้วว่า แมนฯซิตี้ ทำทุกอย่างได้ด้วยความมั่นอกมั่นใจ ดังนั้นสิ่งที่ ลิเวอร์พูล จะถึงยอดเสา นั่นก็คือ ทำลายความมั่นใจตรงนั้นของ “เป๊ปทีม” ให้ได้อย่างรวดเร็ว และต้องทำให้ได้อย่างต่อเนื่อง
ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ....ที่แอนฟิลด์ ดังนั้นสมาธิ, การเล่นร่วม และแพลนเกมสำคัญจริงๆ ต้องเล่นด้วยทีมเวิร์กเพราะนาทีนี้ทีมเวิร์กและความสามารถเฉพาะตัวของ แมนฯซิตี้ ดีกว่า
วาสนาก็คงต้องนำมาเกี่ยวพันด้วย
เกมนี้จึงมีมากกว่า 3 คะแนนจริงๆ
สถิติ‘คล็อปป์ vs เป๊ป’ยุคหงส์ชนเรือ
31-12-2016 พรีเมียร์ลีก/ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯซิตี้ 1-0
19-3-2017 พรีเมียร์ลีก/แมนฯซิตี้ เสมอ ลิเวอร์พูล 1-1
9-9-2017 พรีเมียร์ลีก/แมนฯซิตี้ ชนะ ลิเวอร์พูล 5-0
14-1-2018 พรีเมียร์ลีก/ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯซิตี้ 4-3
4-4-2018 แชมเปี้ยนส์ลีก 8 ทีมนัดแรก/ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯซิตี้ 3-0
10-4-2018 แชมเปี้ยนส์ลีก 8 ทีมนัด2/แมนฯซิตี้ แพ้ ลิเวอร์พูล 1-2
7-10-2018 พรีเมียร์ลีก/ลิเวอร์พูล เสมอ แมนฯซิตี้ 0-0
3-1-2019 พรีเมียร์ลีก/แมนฯซิตี้ ชนะ ลิเวอร์พูล 2-1
4-8-2019 คอมมิวนิตี้ชิลด์/เสมอ 1-1(แมนฯซิตี้ ชนะจุดโทษ 5-4)
10-11-2019 พรีเมียร์ลีก/ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯซิตี้ 3-1
2-7-2020 พรีเมียร์ลีก/แมนฯซิตี้ ชนะ ลิเวอร์พูล 4-0
8-11-2020 พรีเมียร์ลีก/แมนฯซิตี้ เสมอ ลิเวอร์พูล 1-1
7-2-2021 พรีเมียร์ลีก/ลิเวอร์พูล แพ้ แมนฯซิตี้ 1-4
3-10-2021 พรีเมียร์ลีก/ลิเวอร์พูล เสมอ แมนฯซิตี้ 2-2
10-4-2022 พรีเมียร์ลีก/แมนฯซิตี้ เสมอ ลิเวอร์พูล 2-2
16-4-2022 เอฟเอ คัพ รอบรองฯ/ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯ ซิตี้ 3-2
30-7-2022 คอมมิวนิตี้ ชิลด์/ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯซิตี้3-1
รวม 17 นัด คล็อปป์ ชนะ 7 เป๊ป ชนะ 4 เสมอ 6 (ยิงจุดโทษเป๊ป ชนะ 1)
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี