เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการ กสทช.เปิดเผยปัญหาการถ่ายทอดฟุตบอลโลก ตามบันทึกข้อตกลง ดังนี้
1.กสทช.มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนเพื่อให้มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย โดย กกท.และ สำนักงาน กสทช.ได้ทำบันทึกข้อตกลงเมื่อวันที่ 14 พ.ย.2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปและคนด้อยโอกาสสามารถรับชมการถ่ายทอดสด และเพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช.สามารถถ่ายทอดสดได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ภายใต้ประกาศหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดย กกท.ตกลงยินยอมให้ผู้รับใบอนุญาตได้สิทธิแพร่ภาพแพร่เสียงโดยให้มีการออกอากาศผ่านผู้รับใบอนุญาตที่อยู่ภายใต้การกำกับของ กสทช.
2.หาก กกท.ไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในบันทึกข้อตกลงได้ สำนักงาน กสทช.สงวนสิทธิในการยกเลิกการสนับสนุนหรือเรียกคืนเงินที่ได้สนับสนุนไปแล้ว โดย กกท.ต้องคืนเงินใน 15 วัน
3.กกท.ได้จัดทำบันทีกข้อตกลงกับเอกชน เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2565 เนื้อหาของบันทึกข้อตกลงเป็นความลับ แต่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนว่า กกท.รับรองกับเอกชนว่า กสทช.ได้แจ้งมิให้ผู้รับใบอนุญาตเผยแพร่การแข่งขันผ่านระบบ IPTV ระบบอินเทอร์เน็ต ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ และระบบ OTT แล้ว และ กกท.รับรองว่าจะดำเนินการไม่ให้มีการนำสัญญาณไปออกอากาศในช่องทางดังกล่าว
4.ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิของเอกชนที่ให้การสนับสนุนรายนี้ กกท. ตกลงที่จะคืนเงินทั้งหมดทันที
5.แต่ปรากฏหลักฐานตามหนังสือที่ กกท. แจ้งเอกชนเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2565 ว่า กกท. ได้หารือเรื่องการปิดสัญญาณการถ่ายทอดผ่านระบบ IPTV ระบบอินเทอร์เน็ต ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ และระบบ OTT กับสำนักงาน กสทช. แล้ว และสำนักงาน กสทช. มีหนังสือตอบกลับเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2565 ซึ่งเป็นวันหลังจากวันทำบันทึกข้อตกลงกับเอกชนซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2565 แต่ทำไมในบันทึกข้อตกลงกับเอกชนกลับอ้างว่า กสทช. ได้แจ้งมิให้มีการเผยแพร่การแข่งขันผ่านระบบต่างๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม ในหนังสือที่ กกท. แจ้งเอกชน มีการระบุว่า หากบันทึกข้อตกลงกับเอกชน ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย หลักเกณฑ์และบันทึกข้อตกลงกับ สำนักงาน กสทช. กกท. ก็ไม่อาจดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงกับเอกชนได้
6.ที่ประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2565 มีความเห็นว่า กรณีการแจ้งผู้ให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์เผยแพร่รายการของกิจการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป (Must Carry) ไม่รวมถึง IPTV เป็นการขัดต่อประกาศที่ต้องการให้ออกอากาศผ่านทุกช่องทาง
7.สำนักงาน กสทช. มีหนังสือแจ้ง กกท. เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2565 ว่า ตามบันทึกข้อตกลงที่ กกท. ทำกับสำนักงาน กสทช. มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาชนทั่วไปและคนด้อยโอกาสสามารถรับชมการถ่ายทอดสด และเพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. สามารถถ่ายทอดสดได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ภายใต้ประกาศหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบัน กกท. ยังไม่ได้ดำเนินการแก้ไขและปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขและวัตถุประสงค์ของบันทึกข้อตกลง รวมทั้งต้องดำเนินการให้ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ที่มีการบอกรับสมาชิกสามารถออกอากาศการถ่ายทอดสดตามหลัก Must Carry ได้โดยทันทีนับแต่วันรับหนังสือนี้ หากไม่สามารถแก้ไขหรือดำเนินการให้ถูกต้องได้ กกท. มีหน้าที่ต้องคืนเงินสนับสนุน
8.ความสับสนเกิดจากการที่ กกท. อ้างคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาว่าเกิดจากการใช้สิทธิของเอกชนผู้รับสิทธิ เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติตามเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลงกับ สำนักงาน กสทช. แต่อย่างใด
9.แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ประเด็นคำถามสำคัญคือ การยกสิทธิให้เอกชนตามบันทีกข้อตกลงกับ กกท. นั้น เป็นเหตุให้การดำเนินการขัดกับวัตถุประสงค์ของบันทึกข้อตกลงกับ สำนักงาน กสทช. หรือไม่ หากขัดกับวัตถุประสงค์ของบันทีกข้อตกลงจริง สำนักงาน กสทช. ก็มีสิทธิเรียกเงินสนับสนุนคืน และ กกท . ก็มีหน้าที่ต้องคืนเงินใน 15 วัน โดยไม่เกี่ยวกับคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาแต่อย่างใด
10. หาก กกท. ไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบันทึกข้อตกลงและไม่คืนเงิน เป็นไปได้ว่าอาจจะมีฟ้องคดีตามมา และการขอรับการสนับสนุนการถ่ายทอดสดรายการกีฬาสำคัญในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น กีฬาโอลิมปิกส์ กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ คงเป็นสิ่งที่ กสทช. สมควรจะต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงความสามารถในการปฏิบัติตามข้อตกลงของผู้ขอรับการสนับสนุนอย่างจริงจัง
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี