ฟุตบอลงดงาม และใจร้ายอยู่เสมอ ๆ
ที่แน่ ๆ โครเอเชีย เป็นชาติที่น่าเหลือเชื่อในโลกฟุตบอล
พวกเขาเป็นชาติที่แยกออกมาจากการล่มสลาย ยูโกสลาเวีย และการล่มสลายทางสังคม และศาสนา คนเลือดเนื้อเดียวฆ่ากันเองของคนในประเทศ พวกเขาอยู่ในพื้นที่สงคราม ก่อนใช้ฟุตบอลนำทางสู่การที่คนรู้จักไปทั้งโลก
นายประตูโครเอเชีย ผลิตผู้รักษาประตูมาเซฟจุดโทษแท้ๆ 4 ปีก่อน คือ ดานิเยล ซูบาซิซ มาปีนี้ โดมินิค ลิวาโควิช
ไม่ต้องอื่นไกลจริงๆ กับการที่เซฟแล้วเซฟอีกในการดวลจุดโทษ
4 ปีที่แล้ว รอบน็อกเอาท์ โครเอเชีย ชนะจุดโทษรอบ 16 และรอบ 8 ก่อนจะต่อเวลาชนะในรอบรอง
ปีนี้เหมือนเดิมไปแล้ว 2 รอบ จากนี้ไปรอบตัดเชือกน่าคิดเหมือนกันว่า จากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น
ตรงกันข้ามกับ “แซมบ้า” บราซิล ที่ฝันสลายกับการไล่ล่าแชมป์ หลังจากกลับมาเป็นเต็ง 1 ครั้งแรกในรอบ 16 ปี
บราซิล พลาดโอกาสในการได้แชมป์ฟุตบอลโลกอีกครั้ง และจะต้องรอคอยต่อไปอย่างน้อยเข้าสู่ปีที่ 24
พวกเขาได้แชมป์โลก 5 สมัย 1958, 1962, 1970, 1994 และ 2002
นับจากได้แชมป์โลกครั้งแรกเป็นต้นมา จากนี้ไปจะเป็นครั้งที่ 2 ที่รอคอยแชมป์ที่นานที่สุด นั่นคือ 24 ปี ในการเตะ ณ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และเม็กซิโก ปี 2026
เหมือนช่วงยุค เปเล่ จบลง และต้องรอนานจนถึง โรมาริโอ กับ เบเบโต้ มาปักหลักเป็นกองหน้า
สิ่งที่เราได้เห็นกันว่า บราซิล ตกรอบได้อย่างไร หรือว่าแค่ดวงแตกในการออกนำไปก่อนในช่วงต่อเวลาพิเศษ มีโอกาสยิงมากมายถึง 11 ครั้ง ก่อนจะเสียประตูด้วยลูกตรงกรอบลูกแรก แถมยังเป็นลูกแฉลบผิดทิศเข้าประตู
เนื้อในของเกม เราจะเห็นได้ว่า โครเอเชีย มีการปรับหมากลงสนาม ทั้งที่พวกเขาเหมือนกับมีแผนเดียว นั่นคือ 4-3-3 แต่ครั้งนี้ลงมา 4-5-1 โดยใช้แท็กติกปีกตัวบนลงมาปิดเกมมากขึ้นกว่าเดิม และซ่อน ลูก้า โมดริช เอาไว้ตรงกลางมากขึ้น และยืนต่ำกว่าเดิม เพื่อออกบอลจากแนวดิ่งให้มากยิ่งขึ้น
นัดแรกในบอลโลกหนนี้ที่บอลโครเอเชีย เคลื่อนตัวเร็ว สำคัญก็คือ โมดริช พร้อมด้วย มัตเตโอ โควาซิซ และมาร์เซลโล่ โบรโซวิช สมราคาอย่างมาก พวกเขาทำให้กลางของโครเอเชีย อยู่ในโหมดสุดโหด เคี่ยวตามคาด ดีกว่า บราซิล โดยเฉพาะในการชิงพื้นที่ในแดนฝั่งตัวเอง ตลอดทั้งเกม
แผนรับลึก 4-5-1 ทำให้ บราซิล มีช่องในการเล่นค่อนข้างน้อย
ตำแหน่งในครึ่งแรกของ โมดริช คือมิดฟิลด์ด้านขวา แต่บีบยืนในแทบจะชิดกับ โบรโซวิช และการส่ง มาริโอ ปาซซาลิช เป็นตัวจริง ถอยต่ำลงมาค้ำขวาด้านกว้าง แล้วขยับ อันเดร คาร์มาริช ไปเป็นตัวเป้าเพื่อไล่บนจากแดนบนอีกคน
บอลบราซิล แบ๊กโดนกดไว้ และปิดช่องทางบอลไปให้ วินิซิอุส จนเล่นไม่ออก ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกไป
สิ่งสำคัญก็คือ กองกลางของ บราซิล มีอยู่แค่สองคนเท่านั้น ทำให้ คาเซมิโร่ กับ ปาเกต้า โดนกองกลางโครแอต รุมกินโต๊ะ ประเด็นนี้น่าคิดว่า ตีเต้ เทรนเนอร์ของบราซิล คิดอะไรอยู่ในเวลานั้น
การเปลี่ยนตัวคือปรับไปตามตำแหน่ง เขาเลือกที่จะไม่เติมกลางเพื่อชิงพื้นที่ ซึ่งมีทางเลือกแน่ๆ คือ เฟร็ด เพื่อแย่งบอล หรือ บรูโน่ กิลมาไรซ์ เพื่อยืดหยุ่น
มันน่าประหลาดใจ เพราะ แอนโทนี่ กับ โรดรีโก้ คือสไตล์เดียวกับ วินิซิอุส กับ ราฟินญ่า
หรือจะมองว่า พวกเขาเลือกจะเดินหมากรุกใส่ทีมตาหมากรุก ค่อนข้างที่จะช้าเกินไป ปล่อยให้ 45 นาทีแรกเสียเปล่า กับการเล่นในสไตล์ตามใจฉัน แทนที่จะรวมพลังเหมือนเกมก่อนๆ
การขึ้นนำในช่วงต่อเวลา แต่รักษาสกอร์เอาไว้ไม่ดี และถูกลากไปยิงจุดโทษแล้วแพ้
นึกถึงเมื่อครั้งตัวผมยังวัยเยาว์ ได้ดูเกม บราซิล พบกับ ฝรั่งเศส ในรอบเดียวกันนี้แหล่ะ เมื่อปี 1986 รอบ 8 ทีมสุดท้าย
ครั้งนั้นเหมือนกับครั้งนี้ คล้ายกันเกือบทั้งหมด ยกเว้นเมื่อปี 1986 มีการยิงจุดโทษพลาดระหว่างเกมของ ซิโก้ แต่หนนี้ไม่มี
เกมวันนั้นที่เม็กซิโก เกมเป็น บราซิล นำก่อน 1-0 จาก กาเรก้า แต่โดนตีเสมอจาก มิเชล พลาตินี่ จากนั้นเกมตื่นเต้นเร้าใจอย่างที่สุด กระทั่งต้องต่อเวลา และตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ
โซคราเตส คุณหมอยอดนักเตะ ยิงติดเซฟ และจูลิโอ ซีซาร์ ยิงไปชนเสา
หนนี้ โรดรีโก้ ยิงติดเซฟ และมาร์กวินญอส ยิงไปชนเสา
เพียงแต่ฟุตบอลมันจืดสนิท เนื่องจากฝั่งหนึ่งบุกแต่จบไม่ลงด้วยจังหวะมากมายแต่ไม่จะแจ้งอะไร อีกฝั่งหนึ่งรับรอสวน แต่พอสวนแล้วก็เสียบอลกลางทาง ยิงยังไงก็ไม่ตรงกรอบ
การยิงในทีมชาติ 77 ประตูของ เนย์มาร์ เท่ากับ เปเล่ อัญมณีลูกหนังโลก ไม่มีความหมายอะไร เมื่อเขาและพลพรรคต้องออกจากสนามด้วความขมขื่น
ในแง่ของเกม ฟุตบอลต้องการเกมรุก ต้องการการยิงประตู ต้องการการเล่นที่สวยงาม แน่นอนที่สุดว่า บราซิล มีคุณสมบัติที่ดี แต่ไม่ครบถ้วนและไม่ละเอียดพอ
แล้วทีมที่วินัยสูง ก็ตอบโจทย์ฟุตบอลในยุคใหม่ นั่นคือ เข้าใจวิธีการ เข้าใจในแดนไหน เข้าใจว่าต้องการทำอะไร บอลไม่สนุก แต่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการอย่างที่ โครเอเชีย ได้ทำ
ทุกวันนี้บอลศิลปะมันเริ่มถูกกลืนไปเรื่อยๆ หากวางแผนผิด หรือปรับแท็กติกพลาดนิดเดียวก็จะพังทันที เมื่อตีโจทย์ไม่แตก หรือเงื่อนไขหน้างานมันไม่เข้าทางเข้าที่
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ บราซิล ชุดนี้ ที่มีตัวรุกมากมาย แต่สุดท้ายจบไปอีกครั้ง
ผมเขียนไปก่อนหน้านี้ว่า เห็นด้วยกับบริษัทพูลต่างๆ ที่ยกให้ บราซิล เป็นเต็ง 1 และข้อสำคัญก็คือ มาแบบความเฉพาะตัวที่ผสานการเป็นทีมเวิร์กได้ดีมาก แต่.....
แต่สิ่งสำคัญก็คือ ในแววตาของนักบอลแซมบ้าหลายคน มันซ่อนอะไรอยู่บางอย่าง
ถ้าหากไม่ “โอหัง” กันเอง รับรองว่า พวกเขาจะไม่พลาดกับการเข้ารอบต่อไป
แล้วพวกเขาก็เล่นบอล “อวดดี” ในหลายๆ จังหวะ และบางขณะให้มันมากจังหวะกันไปเอง จนจบเห่แบบแฟนบอลผิดหวัง
อ้างได้ว่าดวงแตกในการดวลเป้า แต่ก่อนหน้าจะไปวัดดวงพวกเขาควรทำอะไรให้มันมีประโยชน์ให้มันเร็วกว่านี้
....อย่างไรก็ตาม ยอดทีมจากอเมริกาใต้ยังคงเหลือให้ได้ทำยา เมื่อ “ฟ้าขาว” ทีมชาติอาร์เจนตินา ไม่พลาดในการตีตั๋วเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ
รายละเอียดในเกมถือว่ารุงรังไม่น้อย และเรื่องระหว่าง หลุยส์ฟาน กัล กับ อาร์เจนตินา จะเป็นตำนานไปตลอดกาล เพราะกุนซือดัทช์ไม่เคยแพ้ในบอลโลกในเวลา แต่เขาแพ้การยิงจุดโทษทั้งสองคราให้กับ อาร์เจนตินา ในปี 2014 และ 2022
ในอดีตที่ผ่านมา ฟาน กัล มีปัญหากับยอดแข้งอย่าง ฮวน โรมัน ริเกลเม่ สมัยคุมบาร์เซโลน่า มักจะปฏิบัติตัวกับแข้งอาร์เจนตินาแบบเย็นชา และชอบส่งไปเล่นตำแหน่งที่ไม่ถนัดจาก เพลย์เมกเกอร์ ไปเล่นปีกซ้าย ทำให้แข้งรายนี้ต้องออกจากบาร์เซโลน่าเร็วกว่าที่ควรและไปเฉิดฉายที่บียาร์เรอัลในกาลต่อมา
ดีเอโก้ ฟอร์ลัน เพื่อนรักของ ฮวน โรมัน ริเกลเม่ คอนเฟิร์มเรื่องนี้เขาบอกว่า เพื่อนของเขามักจะพูดเรื่องนี้เป็นประจำในตอนที่เล่นด้วยกันที่ บียาร์เรอัล
“ฟาน กัล ไม่เคยเป็นซัพพอร์ตนักเตะอเมริกาใต้ อย่างที่ ฮวน โรมัน ริเกลเม่ เพื่อนรักของผมได้เล่าให้ฟังตั้งแต่สมัยที่เขาอยู่กับ บาร์เซโลน่า อย่างที่เขากะทำกับ อังเคล ดิ มาเรีย หรือราดาเมล ฟัลเกา”
ลูก้า โทนี่ อดีตหัวหอกทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์โลกปี 2006 ได้ออกมาเปิดเผยว่า หลุยส์ ฟาน กัล นั้นไม่ชอบนักเตะลาติน ว่าฟาน กัล ไม่ชอบนักเตะที่มีเชื้อสายลาติน ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน สมัยที่ผมค้าแข้งกับ บาเยิร์น มิวนิค และได้ร่วมงานกัน เขามักจะหาเรื่องมาบ่นให้ผมฟัง นักเตะที่เด่นๆ เป็นที่รักของแฟนบอลอย่าง ฟร้องค์ ริเบรี่
และลูซิโอ้ โดนบ่นประจำ
น่าสนใจก็คือ ก่อนเกมฟุตบอลโลก 2022 อังเคล ดิ มาเรีย บอกว่า ฟาน กัล คือกุนซือที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา สมัยย้ายมาเล่นให้ แมนฯยูไนเต็ด
“ปัญหาของผมตอนอยู่กับ แมนฯยูไนเต็ด คือผู้จัดการทีมอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล เขาคือโค้ชที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพค้าแข้งของผม ในตอนนั้นผมยิงประตู และทำแอสซิสต์ได้ แต่วันต่อมาเขาคุยแต่เรื่องที่ผมผิดพลาด และเขาเปลี่ยนผมออกจากสนามหลายครั้ง เขาไม่ชอบให้นักเตะดูโดดเด่น หรืออยู่เหนือเขา”
อย่างไรก็ตาม ฟาน กัล ระบุว่า “ดิ มาเรีย เรียกผมว่าผู้จัดการทีมแย่ที่สุดที่เขาเคยมี?เขาคือหนึ่งในไม่กี่คนที่แสดงความคิดเห็นแบบนี้ผมเสียใจจริงๆ เกี่ยวกับมัน และผมพบว่ามันเศร้าที่เขาพูดแบบนี้ เมมฟิส ต้องรับมือแบบเดียวกันที่แมนเชสเตอร์ และตอนนี้เราจูบปากกันแล้ว”
อีกหนึ่งชนวนสำคัญก็คือ ฟาน กัล ให้สัมภาษณ์วิจารณ์ ลีโอเนล เมสซี่ อย่างรุนแรง ว่า เมสซี่ เป็นผู้เล่นที่อันตรายที่สุด เขาสร้างโอกาสให้เพื่อนได้มากที่สุด และยังสร้างโอกาสให้ตัวเองอีกด้วย แต่ในทางกลับกัน เขาไม่ค่อยมีส่วนร่วมนักเมื่อคู่แข่งเป็นฝ่ายครองบอล และนั่นคือโอกาสของดัทช์
ในตอนที่ เมสซี่ ยิงประตูให้ทีมนำ 2-0 เขามองไปที่ม้านั่งสำรองของ เนเธอร์แลนด์ พร้อมกับทำท่ามือที่สื่อถึงการที่นักเตะเนเธอร์แลนด์พูดมาก แล้วจากนั้นก็พูดบางอย่างกับ ฟาน กัล โดยกุนซือชาวดัทช์ก็มีสีหน้าไม่พอใจกับท่าทีของ เมสซี่ ร้อนจนทีมสต๊าฟของ เนเธอร์แลนด์ อย่างเช่น เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ต้องพยายามเข้ามายุติความวุ่นวาย
เมสซี่ เดินปรี่เข้าไปหาฟาน กัล และระหว่างให้สัมภาษณ์กับทีวายซี สปอร์ตส์ สื่อของอาร์เจนตินา เขายืนมองและตะโกนด่าแบบไม่สนใจนักข่าว
“มองยืนดูห่าอะไรว่ะ ไอ้โง่ เดินไปให้ไกลเลย” ตามรายงานที่เขายืนด่าคือ หลุยส์ ฟาน กัล และวูท เว็คฮอร์ทส์
เมสซี่ พูดกับสื่ออย่างเผ็ดร้อนว่า หลุยส์ ฟาน กัล ดูหมิ่นผมในการแสดงความคิดเห็นก่อนเริ่มเกม และนักเตะของเนเธอร์แลนด์บางคนก็พูดมากเกินไปในระหว่างที่ลงแข่งขัน ผมไม่ชอบสิ่งที่พวกเขาทำก่อนเกมมันไม่ให้เกียรติกัน ผมเคารพทุกคน และอยากให้ทุกคนทำเช่นเดียวกัน และฟาน กัล ไม่มีความเคารพใครเลย และแน่นอนผมก็ไม่เคารพเขาเหมือนกัน
“เขาบอกว่าทีมของเขาเล่นด้วยสไตล์ที่สวยงาม และทำไมเขาถึงเอากองหน้าตัวใหญ่ลงมา และโยนบอลยาวเข้าไปในกรอบเขตโทษไม่เห็นเหมือนที่พูดไว้เลย ผมคิดว่าเราคู่ควรกับชัยชนะและเป็นฝ่ายเข้ารอบ”
จากนั้น ฟาน กัล ก็ให้สัมภาษณ์บ้างว่า อันดับแรกผมจะไม่ทำงานต่อ ผมเข้ามาทำงานกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์แค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น นี่คือเกมสุดท้ายของผมกับการเป็นกุนซือทีมชาติครั้งที่ 3
“ในช่วงเวลานั้นผมคุมทีม 20 เกม และเราไม่แพ้ใครแม้แต่นัดเดียว ผมไม่รู้ว่าเราชนะกี่นัด คุณลองไปค้นหาใน Google “Louis van Gaal, Dutch team” และลองดูประตูได้เสียด้วยตัวคุณเองผมไม่คิดว่าเราพ่ายแพ้ในเกมนี้ มันเป็นแค่การดวลจุดโทษเท่านั้น”
ที่สำคัญก็คือ ฟุตบอลโลกมีเกมการดวลแข้งที่ระอุดุเดือดเป็นระดับตำนานมามากมาย อาทิ เดอะ แบทเทิ่ล ออฟ ซานดิอาโก(The Battle of Santiago) ปี 1962 ชิลี ชนะ อิตาลี 2-0
“The theft of the century” อังกฤษ ชนะ อาร์เจนตินา 1-0 ปี 1966
กระทั่งเกมแบทเทิ่ล ออฟ นูเรมเบิร์ก ในปี 2006 ที่โปรตุเกส ชนะ เนเธอร์แลนนด์ 1-0 ซึ่งเกมนั้นเป็นสถิติใบเหลืองอย่างเดียว 16 ใบและ 4 ใบแดง และมาจากนักเตะในสนามล้วนๆ รวม 20 ใบ
เจอครั้งนี้เข้าไปเดือดจัด ใบเหลืองรวมกันถึง 18 ใบ อาร์เจนตินา นักเตะรับไป 8 ใบเหลือง กุนซือ ลีโอเนล สคาโลนี่ 1 ใบเหลือง และสต๊าฟโค้ช วอลเตอร์ ซามูเอล 1 ใบเหลือง
เนเธอร์แลนด์ นักเตะรับไป 8 ใบเหลือง กับอีก 1 ใบแดงของ เดนเซล ดุมฟรีส์
แม้เราจะไม่ได้มีโอกาสเห็น บราซิล ซดกับ อาร์เจนตินา ทั้งที่โอกาสนั้นมีความเป็นไปได้หนแรกตั้งแต่ปี 1990 แต่อย่างน้อยยอดนักเตะที่จะยืนหยัดในตำนานโลกลูกหนังอย่าง ลีโอเนล เมสซี่ และลูก้า โมดริช อย่างน้อยหนึ่งคนจะได้ชิงชนะเลิศ
กับเกม Do or Die ในรอบนี้ ซึ่งมันเหมือนโดยบังเอิญไปหมดทั้ง การชนะในรอบน็อกเอาท์ด้วยจุดโทษ 2 รอบติดต่อกันของ โครเอเชีย เหมือนเมื่อปี 2018
หรือการที่ อาร์เจนตินา น็อกจุดโทษ เนเธอร์แลนด์ อีกครั้ง โดยทีมดัทช์คุมทัพด้วยหลุยส์ ฟาน กัล
มันเดือดดาล, งดงาม และโหดร้ายจริงๆ
บี แหลมสิงห์