ฟุตบอลโลกแข่งขันมาแล้ว 92 ปี เรื่องราวของฟุตบอลโลกมีอย่างมากมายฟุตบอลโลกเป็นเรื่องของทุกเพศทุกวัยเป็นเรื่องของคนทั้งโลก
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องแข่งขันกันมีเพียงแค่ประเทศจากลาตินอเมริกาและประเทศจากยุโรปเท่านั้นที่คว้าแชมป์ไปครอง....หรืออย่างไรกัน
นับตั้งแต่ทีมชาติบราซิลได้แชมป์โลกปี 2002 จากนั้นเป็นต้นมาทีมจากลาตินอเมริกาไม่เคยได้แชมป์ฟุตบอลโลกอีกเลยพร้อมกับสถิติต่างๆ ถูกทำลายลงด้วยทีมจากแผ่นดินยุโรป
ปี 2010 สเปนกลายเป็นชาติแรกจากยุโรปที่ได้แชมป์นอกทวีปตัวเอง โดยก่อนหน้านี้เมื่อไหร่ก็ตามที่ชิงนอกพื้นที่ยุโรปหรืออเมริกาใต้ จะเป็นทีมจากอเมริกาใต้ที่ได้แชมป์
ปรากฏว่าสเปนไปเป็นแชมป์ที่ทวีปแอฟริกา
ยิ่งไปกว่านั้นในอีก 4 ปีต่อมาฟุตบอลโลกที่บราซิล กลายเป็นครั้งแรกที่ทีมจากทวีปยุโรปมาคว้าชัยได้สำเร็จบนแผ่นดินลาตินนั่นคือทีมชาติเยอรมนี ที่เอาชนะทั้งบราซิล ในรอบรองชนะเลิศ 7-1 แล้วก็ต่อเวลาชนะอาร์เจนตินา 1-0
เท่ากับว่า 20 ปีที่ผ่านมานั้น ถือว่าบอลโลกโดนเผาตำราไปเยอะมาก ครั้งนี้จะเป็นโอกาสอีกครั้งของอาร์เจนตินา และชาวละตินในการล่าแชมป์โลก
มาในตอนนี้แชมป์ใหม่จะยังไม่เกิดขึ้น มีชาติที่เคยได้แชมป์ทั่วโลกทั้งหมด 8 ชาติ จาก 13 ชาติที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทีมจากทวีปยุโรป ชิงกับทวีปอเมริกาใต้
ดังนั้นฟุตบอลโลกอาจจะเป็นของเราแต่เรื่องของแชมป์มันเป็นของยุโรปหรืออเมริกาใต้เท่านั้น
l ศึกสองแชมป์โลก
ทั้งสองชาติต่างขึ้นครองความสำเร็จในบอลโลกมาแล้วอย่างไม่ธรรมดา ชาติละ 2 สมัย
อาร์เจนตินา ผ่านเข้าชิงครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 เริ่มจากบอลโลก สมัยแรก ปี 1930 แพ้ อุรุกวัย 2-4 จากนั้นเข้าชิงปี 1978 ปราบ เนเธอร์แลนด์ ช่วงต่อเวลา 3-1 ครองแชมป์สมัยแรก และต่อด้วยแชมป์โลก สมัยที่ 2 ในปี 1986 ชนะ เยอรมันตะวันตก 3-2 แต่หลังจากนั้นเข้าชิงอีก 2 ครั้งแพ้ทั้งหมดให้กับ เยอรมันตะวันตก 0-1 ปี 1990 และล่าสุดคือแพ้ เยอรมนี ช่วงต่อเวลา 0-1 ปี 2014
ทางฝั่ง ฝรั่งเศส น่าสนใจอย่างมากก็คือ ได้ชิงเป็น 4 สมัย เกิดขึ้นในการแข่งขัน 7 ครั้งหลังสุด โดยครั้งแรกได้แชมป์ในบ้านตัวเองเมื่อยำ บราซิล 3-0 ปี 1998 จากนั้นแพ้จุดโทษ อิตาลี ปี 2006
ล่าสุดคือ 4 ปีก่อน ปี 2018 เอาชนะ โครเอเชีย 4-2 ได้มาป้องกันแชมป์อย่างสมเกียรติ
l ผ่าแผนอาร์เจนตินา
การกลับมาได้อย่างน่าสนใจถึง 2 ครั้งของ “ฟ้าขาว” มันเป็นการกลับมาแบบมีสไตล์ของทีมที่จะเป็นแชมป์
จากการพ่ายแพ้ในนัดแรก และโดนตีเสมอแบบใจหล่นในรอบ 8 ทีม แต่พวกเขายังกลับมาได้ มันคือการพิสูจน์หัวใจของอาร์เจนฯ ชุดนี้แล้ว
“ฟ้าขาว” กลับมาจากการแพ้แบบช็อกโลกให้กับ ซาอุดีอาระเบียพวกเขาค่อยๆ ปรับนักเตะ ปรับสไตล์ และปรับสูตรไปเรื่อยๆ เมื่อพลิกมาเล่น 4-3-3 ปรับรายละเอียดในเกม ปรับตัวผู้เล่น และขยับสู้ได้อย่างน่าสนใจ พวกเขายกระดับดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะแม่ทัพที่ชื่อ ลีโอเนล เมสซี่
ในสถิติส่วนตัว เมสซี่ ทำได้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เป็นชาวอาร์เจนไตน์ที่ยิงได้มากสุดในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย และกำลังจะเป็นนักฟุตบอลที่ลงสนามในฟุตบอลโลก มากที่สุด เป็นนัดที่ 26 แซงหน้า โลธาร์ มัทเธอุส ที่ทำไว้ 25 นัด
สิ่งที่น่าสนใจของ ฟ้าขาว ก็คือ ความยืดหยุ่นในเกม ดูเหมือนว่า นักบอลหลายต่อหลายคนพร้อมที่จะลงไปทำหน้าที่ในสนาม ไม่ว่าจะส่งใครลงเล่น ดูเหมือนว่า กำลังของพวกเขาไม่ลดลง ลีโอเนล สกาโลนี่ ซึ่งอยู่ในทีมชาติในชุดที่ เมสซี่ ติดธงหนแรกเมื่อปี 2008 ปรุงทีมได้อย่างเหลือเชื่อ ตัวเขาเป็นกุนซือที่อายุน้อยที่สุดในบอลโลกหนนี้
แต่กำลังจะทำงานสำเร็จ ดีกว่าผู้ใหญ่กว่าตัวเขาอีก 31 คน
แผนการเล่นของพวกเขามีหัวใจสำคัญคือ 3 กองกลางที่หากันพบในระหว่างศึกนี้ ในเกมนัดสุดท้ายของรอบแรก เมื่อมาลงตัวที่การเล่นของ โรดริโก้ เดอ ปอล, เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ และอเล็กซิส แม็ค อลิสเตอร์
การเป็นผู้นำของ เดอ ปอล มีมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเล่นบอลง่ายขึ้น และให้บอลได้เร็วขึ้น เป็นประโยชน์ต่อทีมเป็นอย่างมาก บวกกับการเคลื่อนตัวของ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ ที่เล่นไปได้ทุกหมุด บวกกับการสอดซ้อนที่รวดเร็ว รวมถึงการวิ่งช่วยเกมด้านซ้าย และมีวินัยของ แม็ค อลิสเตอร์ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ทีมจะเล่นแบบไหน
ถ้าเป็นหลัง 3 คน ลิซานโดร มาร์ติเนซ จะได้ลงตัวจริง แต่ถ้าเล่นแบบรอบตัดเชือก หมายความว่าจะเป็นกองกลาง 4 คนเติม ปาเรเดส ลงมาอีกคน เพราะตอนนี้ไม่เหมาะกับการเพิ่มแนวรุกตัวเก๋าอย่าง อังเคล ดิ มาเรีย หรือกระทั่ง เลาโตโร่ มาร์ติเนซ
แนวรุกกำลังพอดี การเดินหาพื้นที่แล้วเคลื่อนตัวของ ลีโอเนล เมสซี่ กับการเคลื่อนตัวไม่หยุดของ ฆูเลี่ยน อัลบาเรซ ก็สามารถเขย่าทุกทีมได้แล้ว
l ผ่าแผนฝรั่งเศส
ด้วยการเล่นอย่างมั่นคง มีสไตล์ นี่คือคุณสมบัติของทีมที่จะเป็นแชมป์
เดส์ชองส์ สตาร์ทฟุตบอลโลกด้วยความวุ่นวาย ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทัวร์นาเมนท์ มีปัญหานักเตะบาดเจ็บจนต้องถอนตัวออกไป มากมาย โดยเค้าลางจาก ปอล ป๊อกบา ที่รักษาตัวแบบผิดๆ จนพลาดการมาแข่ง ต่อด้วยเอ็นโกโล่ ก็องเต้ ทำให้ต้องเปลี่ยนคู่กลางใหม่ แล้วก็ไล่เลียงกันเดี้ยงทั้ง เพรสน่อล คิมเพมเบ้,คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู, คาริม เบนเซม่า และลูกาส์ แอร์นองเดซ
บางคนแอบคิดดังๆ ว่า ถ้าหาก เบนเซม่าเดินทางมา บางที(นะบางที) บอลของฝรั่งเศสอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ เพราะ ชิรูด์ เล่นได้มีประโยชน์กว่า และหันหน้าเข้าหาเพื่อนเพื่อเลือกทาง มากกว่าการเล่นพุ่งไปข้างหน้าเพื่อหาทางของ เบนเซม่า
บอลของฝรั่งเศส คือ 4-2-3-1 ทำงานกันไม่ซับซ้อน แต่เคี่ยวและเขี้ยวลากดิน พวกเขาใช้กลางเล่นบอลดีเลย์ ยืนปักหลัก ไม่เน้นสวยงามแต่เน้นความแน่นอน บอลออกจากเท้าเน้นแล้วเน้นอีกว่า อย่าพลาดกันง่ายๆ แล้วใช้บอลข้ามไลน์จากแนวลึกไปหา 4 ตัวรุก
กระทั่งผ่านมาในรอบที่ 2 ถอนเอา กรีซมันน์ ลงมาต่ำมากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นถอยมาต่ำลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเกมทุบ โมร็อกโก ทีมพลิกกลับมาเหมือนกับเล่น 4-3-3 เลยด้วยซ้ำไป
ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่ค้นพบโดย เดส์ชองส์ เพราะ กรีซมันน์ เล่นตำแหน่งนี้ในซีซั่นนี้กับ แอตเลติโก มาดริด เพียงแต่ไม่เปรี้ยง เพราะคุณภาพแข้งตราหมีปีนี้ไม่ปร้าง แต่เจิดจรัสการมาเล่นทีมชาติ เนื่องจากแจกบอลออกสบายง่ายขึ้น
บอลแนวลึกของฝรั่งเศส สามารถออกได้ซ้ายขวาเพราะมีตัวมหาโหด สปีดเร็วแรงทะลุนรกทั้ง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และอุสมาน เดมเบเล่ หรืออาจจะเปิดให้ ชิรูด์ พักและพิงไว้ทำงานกันต่อ
สิ่งสำคัญก็คือ กองหลังของพวกเขาที่มีการปรับเปลี่ยนเหมือน 4 ปีก่อน เพียงแต่ว่า จะเลือกใครลงเล่น เพราะมีอาการป่วยไข้ถามหาซึ่งออปชั่นตรงนี้ “ไก่ทองคำ” มีทางเลือกอยู่พอสมควร
l ทิศทางของเกม
การโคจรมาเจอกันของชาติที่บ้าคลั่งฟุตบอลไม่แพ้ชาติใดในโลกา อย่าง อาร์เจนตินา กับ ชาติที่ไม่ได้บ้าคลั่งฟุตบอลมากนัก แต่ใช้ฟุตบอลหลอมรวมให้มีจุดหมายเดียวกัน อย่าง ฝรั่งเศส
ทีมที่ปรับเข้ากับคู่แข่งด้วยการลดอัตตาของตัวเองลง ผสานให้มันเหมาะเจาะกับช่วงเวลา แผนจากหน้ากระดานทุกอย่าง ดูเหมือนตกผลึกของ อาร์เจนตินา จะต้องดวลกับ ทีมที่ไม่สนใจว่า ใครจะมาแบบไหน จะมาวิธีการอะไร เพราะ ฝรั่งเศส เล่นด้วยความเข้าใจในแผน และมั่นใจในแท็กติกของตัวเองมากกว่าใคร
เกมนี้จึงสูสีเหลือประมาณต้องแต่ยังไม่แข่ง
น้อยครั้งที่เราจะได้เห็น การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของ “บริษัทพูล”ที่ปกติต้องรอนานกว่าน้ำหยดลงหิน แต่นี่กลายเป็นต้นไผ่เล่นลม พลิกไปมาสุดท้ายโอกาสเสมอ “มีมากที่สุด”
จุดเด่น อาร์เจนตินา ปรับไปมาได้แดนกลางที่ลงตัว อยู่ที่นัดนี้จะเลือกแผนไหนลงมาสู้ แต่ข้อหนึ่งก็คือ การเดินไปเอาบอลของ เมสซี่ที่น่ากลัวขึ้นในทุกๆ นัด บวกกับการสปีดเข้าใส่ทุกรูทุกไลน์ในแนวรับของ อัลบาเรซ ซึ่งการเคลื่อนตัวตรงนี้มีผลแน่นอนกับเกมรับฝรั่งเศส ในการคุมและปิดพื้นที่
แดนกลางของ อาร์เจนตินา ชุดนี้ถือว่าเหมาะสมลงตัว ไม่ว่าจะลงสูตรไหน พวกเขาลงตัวเรียบร้อยกับแผงมิดฟิลด์ ที่พร้อมจะตอแยคู่แข่ง ตอดไปเรื่อยล่าไม่หยุด ซึ่งจะต้องขึ้นมาจั่วสูงหน่อย เพราะแดนกลางของฝรั่งเศส จะยืนลึกแทบจะแนบติดชิดเซ็นเตอร์แบ๊กตัวเอง
จุดนี้น่าจะชนกันตรงๆ เพราะบอลอาร์เจนฯ ไม่ได้อาศัยสปีดอย่างเดียว แต่สปีดกันตามจังหวะ และมักจะ “เจาะตรงๆ” ไม่ค่อยได้เล่นบอลออกข้าง
สิ่งที่ต้องจับตามองก็คือ กรีซมันน์ ที่ท็อปฟอร์มอย่างมาก การเคลื่อนตัวลงมาในแดนกลาง ค่อนไปถึงแดนหลัง คือสิ่งที่ได้ใจแฟน แต่จุดนี้พวกอาร์เจนฯชอบแน่ เพราะยิ่ง กรีซมันน์ ยืนใกล้ประตูตัวเองมากเท่าไหร่ ก็จะไกลประตูอาร์เจนฯมากขึ้นเท่านั้น และมันต้องใช้พลังค่อนข้างเยอะกับพื้นที่ในการออกบอลจากแนวที่ลึกเกินไปสำหรับตัวเขา
ตรงกันข้ามก็คือ กรีซมันน์ เป็นนักบอลที่จะไม่อยู่ในเฟรม แต่จะทำได้ดีมาก เมื่อแอบเข้าหลังไลน์ของคู่มิดฟิลด์ ทั้งหลังคู่แข่งและเพื่อนร่วมทีม โดยเฉพาะอย่างหลังแล้วนั้น เขาจะมีเวลาในการช่วยสกรีนให้จากเพื่อน ก่อนจะได้เลือกเปิดสวิงพาสต์ซ้าย-ขวา ให้กับสองปีกปีศาจที่ต้องรับมือกับแนวรับอาร์เจนฯ หากใช้ระบบหลัง 3 ก็จะเป็นเซ็นเตอร์ซ้าย-ขวา ต้องออกมาซ้อนวิงแบ๊ก
แต่ถ้าเล่นไลน์โฟร์ ต้องให้มิดฟิลด์ถอนลงมาช่วยปิด นั่นคืองานของ เด ปอล มาช่วยปิด เอ็มบัปเป้ และแม็ค อัลลิสเตอร์ มาช่วยบังทางของ เดมเบเล่
เกมนี้กองกลางได้บดบี้ขยี้กันแบบถึงใจพระเดชพระคุณเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ว่าใครได้แชมป์ หรือได้รองแชมป์ ทั้งสองฝั่งถือว่าสมศักดิ์ศรีอย่างที่สุด เพราะถือว่าเป็นทีมที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม แก้ปัญหาได้ดี และโชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างสมราคายิ่ง
เมสซี่ ถ้าหากชนะได้เขาจะกลายเป็นตำนานฟุตบอลโลก “อย่างเป็นทางการ” และจะก้าวผ่านการเปรียบเทียบกับฮีโร่ตลอดกาลของชาติอย่าง “ดีเอโก้ อาร์มานโด้ มาราโดน่า” ผู้ล่วงลับ พร้อมกับอยู่เหนือคู่ปรับร่วมบารมีตลอดกาลอย่าง คริสติอาโน่ โรนัลโด้
ฟากฝั่ง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ถ้าหากชนะ เขามีโอกาสไม่น้อยที่จะทำให้คนร่วมยุคร่วมสมัยอย่างเราท่าน ได้เห็นถึง “ประวัติศาสตร์ใหม่”กับการลุ้นคว้าแชมป์ได้ถึง 3 ครั้ง เหมือนกับ “เปเล่” อัญมณีอันเลอค่าของโลกลูกหนัง
เพราะเวลานี้ “ประธานเป้” กำลังจะอายุครบ 24 ปี ในวันอังคารที่จะถึงนี้ นั่นหมายว่า มีโอกาสไม่น้อยในการทำสถิติที่ยากมากต่อมนุษย์คนหนึ่งจะครองโลกได้ 3 สมัยดุจ เปเล่
ในทุกการแข่งขันย่อมมีผลแพ้และชนะ เพราะนั่นคือการแข่งขัน เพื่อให้รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย
ฟุตบอลยังคงงดงาม และโหดร้าย อยู่ในที่ที่เดียวกันอยู่เสมอ................
บี แหลมสิงห์