สกอร์เหลือเชื่อแบบสุดๆ เมื่อ ลิเวอร์พูล ถลุง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่กำลังลุ้น 4 แชมป์ ไปแบบย่อยยับ 7-0
โคกี้ กัคโป, ดาร์วิน นูนเญซ และโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ สังหารคนละ 2 ประตู และปิดท้ายด้วย บ็อบบี้ ฟีร์มิโน่...ยิงขนาดนี้เกิดอะไรขึ้น!?!?!?!
ความน่าสนใจของเกมนี้มีปรอทองศาพุ่งพรวดเป็นนวดแป้งขึ้นมาเมื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ เลือกดร็อป สเตฟานบาจเซติซ ดาวรุ่งในแดนกลางไปเป็นสำรอง ทั้งที่เป็นตัวที่เล่นดีสุดในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่ง ฮาวี่ย์ เอลเลียตต์ ได้เล่นต่อทางมิดฟิลด์ขวา และอีกคนที่ลงมาคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมได้ลงไปเล่นบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ ซ้ายแทนที่
คล็อปป์ ให้เหตุผลว่า เขามีตัวเลือกมากยิ่งขึ้น และเกมแบบนี้ต้องการให้ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น ระเบิดความรู้สึกให้เต็มที่ แต่จะต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ให้ดีแล้ว ลิเวอร์พูล ก็ทำได้จริงๆ
ลิเวอร์พูล เหนือกว่าในครึ่งชั่วโมงแรก จากนั้นแดนกลางยุบ บอลไม่ถึงพื้นที่สุดท้าย ขณะที่กำลังเอียงไปเอียงมา ได้ประตูจากการยิงในสไตล์ที่ปกติคือล็อกคัทในแล้วยิงของ กัคโป นักบอลที่เป็นองุ่นเปรี้ยวของยูไนเต็ด
โอกาสตรงกรอบหนที่ 2 ได้ประตู เพราะก่อนหน้านั้นลูกดีดของ นูนเญซ ไปติดบล็อก
กัคโป เป็นนักบอลลิเวอร์พูล คนที่ 10 ในประวัติศาสตร์ที่ยิงทั้ง เอฟเวอร์ตัน กับ แมนฯยูไนเต็ด ให้กับ ลิเวอร์พูล ได้ตั้งแต่ซีซันแรกที่ลงสนาม คนล่าสุดคือ ปีเตอร์ เคราช์ ปี 2006 เช่นเดียวกับวิธีการที่กองกลางน่าสนใจมากในนัดนี้ เหมือนกับว่า ลิเวอร์พูล มีตัวเยอะกว่า เพราะ ซาลาห์ กับ กัคโป ลงมาช่วยไล่ เท่ากับเพิ่มในเกมรับลึก 9 ตัว
คุณภาพไม่ได้ต่างกัน อยู่ที่จังหวะเข้าทำ และความเฉียบคมทั้งหมดปรากฏในครึ่งหลัง
เกมที่แก้มายังไม่ทันได้ใช้ เมื่อ ลิเวอร์พูล ได้ประตูที่ 2 จากการยิงของ ดาร์วิน นูนเญซ ทำให้สองเม็ดแรกของ หงส์แดงที่ได้ในเกมนี้ มาจากนักบอลที่เคยมีข่าวจะย้ายมาอยู่กับ ยูไนเต็ด ทั้งสิ้น
กระทั่งเม็ดที่ 3 จาก กัคโป และประตูที่ 4 จาก ซาลาห์ มาจากจังหวะโต้กลับที่เฉียบคม โดยเฉพาะเม็ด 3 ซาลาห์ จัดการเผา มาร์ติเนซ ก่อนจะจ่ายให้ กัคโป ยิงอย่างเหนือชั้น ส่วนประตูที่ 4 มาจากการขยันเล่นของ นูนเญซ และมีจังหวะโชคบอลแฉลบมาเข้าทาง ซาล่าห์ ตะบันด้วยขวาแบบเต็มตีนเตี่ย
เอาเข้าจริง เราจึงไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ เอริค เทน ฮาก แก้ไขมาในระหว่างพักครึ่งคืออะไร รวมถึงสิ่งที่ คล็อปป์ ปรับมาคืออะไรเนื่องจาก ลิเวอร์พูล ได้ประตูที่ 2 และ 3 ในเวลาเพียงแค่ 5 นาทีแรกของครึ่งหลัง
สกอร์ยังคงไหลแบบต่อเนื่องเมื่อ ดาร์วิน นูนเญซ ถอนตัวมาโขกได้อย่างเด็ดขาด เสียบเสาไกลตุงตาข่าย 5-0 เท่านั้นก็ยังไม่พอ “พินบอล” กระเด้งมาเข้าทางปืน ซาล่าห์ กดเข้าไปเสียบตาข่าย กลายเป็นคนที่ยิง แมนฯยูไนเต็ด ได้มากที่สุดต่อไปเป็นประตูที่ 12 และเป็นนักบอลที่ยิงประตูให้กับ ลิเวอร์พูล ได้มากที่สุดยุคพรีเมียร์ลีก 129 ประตู
แล้วมันจบที่ไหน ฟุตบอลอะไรกัน บางครั้งมันตอบอะไรไม่ได้ เมื่อ ฟีร์มิโน่ ที่ประกาศอำลาทีมไปเมื่อวันศุกร์ ลงสำรองลงมาซัดประตูได้ 7-0 อะไรมันจะขนาดนั้น
เซเวน เฮฟเว่นของ ลิเวอร์พูล ส่วน แมนยูฯ ไม่รู้จะพูดอะไรดี นี่คือชัยชนะที่โหดสุดนับตั้งแต่ ปี 1895
ตั้งข้อสังเกตกันมาพักใหญ่แล้วว่า เทนฮาก ใช้นักบอลชุดเดิมมากเกินไปจริงๆ พอโดนบอลเพรสหนักแล้ววิ่งไม่ออก หนีไม่ได้
เทน ฮาก กุนซือของแมนฯยูไนเต็ด สับเละลูกทีมว่าครึ่งหลังมันไม่ใช่ตัวตนและมาตรฐานของเรา แน่นอนว่าผมโกรธมาก และประหลาดใจเพราะผมได้เห็นทีมที่มีความยืดหยุ่นและความมุ่งมั่นในการเล่นเพื่อชัยชนะในรอบสัปดาห์ และเดือนที่ผ่านมา
“เราไม่ได้ยึดติดกับแผนการเล่น แต่เราหัวเสีย ไม่ได้ทำงานที่วางไว้ให้สำเร็จ เราแพ้แบบไม่ใช่มืออาชีพ เราทำให้แฟนบอลต้องผิดหวัง และผมรู้สึกโกรธมากกับเรื่องนี้ มันเป็นผลงานที่แย่ที่สุดในรอบปี เราเคยตามหลังและสามารถกลับมาได้ แต่เกมนี้เราไม่ความเป็นมืออาชีพจริงๆ”
“ผมละอายใจแทนแฟนๆ ทุกคนจริงๆ”
ฟากฝั่งผู้ชนะ คล็อปป์ ถูกตั้งคำถามจากนักข่าวจาก BBC สื่อชั้นนำของโลกว่า ทำไมถึงไม่มีท่าดีใจประจำนั่นคือ วิ่งไปชก 3 ครั้งกับแฟนบอลฝั่งสะเปี้ยนค็อป ได้แต่ชี้นิ้วฉลองชัยแบบเบาๆ แทน
“ผมชอบท่าดีใจชกลมสุดๆ แต่แน่นอนผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้ทุกเกม สิ่งสำคัญหลังเกม ณ เวลานั้น ไม่ใช่การส่งเสียงให้ดังขึ้น ผมต้องการให้เราแค่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น ผมรู้สึกดีมากที่เหล่าแฟนบอลขอร้องให้ผมทำ ถึงผมจะไม่ได้มีความสุขสุดๆ ตอนที่พวกเขาร้องเพลงเชียร์ให้ผมก็ตามทีแต่อารมณ์ของผมคือแบบว่า โอ้พระเจ้า!!! ไม่มีอย่างอื่นแล้วเหรอผมจึงไม่ปั๊มพ์ แต่ผมก็ขอขอบคุณสำหรับเพลงเหล่านั้น เรามีเวลาอีกเยอะสำหรับการชกลมแล้วเฮฮากับแฟนบอลในซีซั่นนี้”
ในเรื่องของเกมนั้น คล็อปป์ บอกว่า ผมไม่มีคำจะพูดเลย มันเป็นเกมฟุตบอลที่น่าประทับใจและน่าทึ่ง เราโชว์ฟอร์มระดับท็อปออกมาในการเจอกับทีมที่กำลังเข้าฝักอย่างแมนฯยู เราจำเป็นต้องได้ทั้งผลการแข่งขันและฟอร์มการเล่น และเราก็ได้ทั้งสองอย่าง
“เราเล่นได้อย่างยืดหยุ่นมาก เรามีทั้งความสมดุล2 อย่าง นั่นก็คือ ดุดัน และความนิ่งในช่วงเวลาที่เหมาะสมหลังจากผ่านไป 25 นาทีเกมค่อนข้างเปิด แต่เราได้ประตูอันยอดเยี่ยมขึ้นนำก่อนพักครึ่ง และได้อีกสองประตูอย่างรวดเร็วในต้นครึ่งหลัง สุดท้ายสกอร์ที่จบลงมันคือเรื่องประหลาด แต่สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้เสมอกับโลกของฟุตบอล แน่นอนที่สุดว่า ผลการแข่งขันนัดนี้ ทำให้เราได้แรงผลักดันที่ต้องการเพื่อมุ่งไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง, สิ่งสำคัญคือ เราต้องทำให้ทีมอื่นๆ รู้ว่าเรายังอยู่”
ขณะเดียวกัน โม ซาล่าห์ ยังทำสถิติใหม่ให้กับทีมด้วยการยิงได้มากที่สุดยุคพรีเมียร์ลีก 129 ลูกจาก 205 นัดซึ่ง คล็อปป์ บอกว่า ให้ตายซิ!!!! 129 ประตู นี่คือตัวเลขที่บ้าคลั่งและเหลือเชื่อสุดๆ
ซาล่าห์ วัย 30 ปี ระบุว่า การทำลายของเดิมซึ่งทำไว้โดย ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ 128 ประตู คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ผมมีความสุขที่ทำได้อย่างที่คาดหวังเอาไว้ ผมไม่โกหกทุกคนว่า มันอยู่ในหัวของผมตั้งแต่ย้ายมาในซีซั่นแรก กับการทำลายสถิติอันยิ่งใหญ่นี้
“หลังจากซีซั่นแรก ผมก็พยายามไล่ตามสถิตินี้มาตลอด ดังนั้นการทำสถิตินี้ได้ในการเจอ แมนฯ ยูไนเต็ด แถมทีมเราได้ผลการแข่งขันแบบนั้นอีก จึงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ ซึ่งผมจะกลับไปฉลองร่วมกับครอบครัว, จิบชา คาโมไมล์ แล้วจากนั้นก็เข้านอน!”
สิ่งหนึ่งที่จะต้องรีบทำขณะนี้คือ ทั้งสองฝ่ายต้อง “ดึงสติ” และดึงสมาธิกลับมาให้เร็วที่สุดอีกด้วย
ยูไนเต็ด ยังอยู่ในเส้นทางทั้ง 3 รายการ ส่วน ลิเวอร์พูล ชัดเจนก็คือต้องเล่นให้สมศักดิ์ศรีที่สุดในการไปเยือน เรอัล มาดริด เนื่องจากผลต่างที่ตามหลัง รวมถึงการโฟกัสท็อปโฟร์ เพื่อรักษาสิทธิ์ในการไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก
ฟุตบอลปีนี้ดุเดือดแบบแปลกๆ อย่างแท้จริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี