เอฟ เมื่อครั้งครองแชมป์ 6 แดงโลก ปี 2015
เกมสอยคิวระดับโลกในประเทศไทย มักจะหอมหวาน และเรียกความเร้าใจให้กับคนไทยได้เสมอ นับตั้งแต่ยุคทอง “บันลือโลก” ของ “เจมส์ วัฒนา” หรือ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย วัฒนา ภู่โอบอ้อม ในยุค 90
ยุค 90 ของหลายต่อหลายคนคือยุคแห่งความคลาสสิก“สนุ้กเกอร์” เป็นอีกชนิดกีฬาที่สามารถ ทำให้ดีได้ และทำให้มันชัดเจนว่าเป็นกีฬา ในยุคของ “บิ๊กสิน” สินธุพูนศิริวงศ์ ที่รับไม้ต่อจาก มร.มอริส เคอร์ และมีการนำเกมสนุ้กเกอร์ระดับโลกเข้ามายังเมืองไทย
นับเป็นยุคทองที่มีทั้งเกมสะสมคะแนนโลก, เกมแบบล่าเงินรางวัล มากมายไปหมด อาทิ การพัฒนา ไทยแลนด์มาสเตอร์ส จากยุคแรกที่เป็นรายการโชว์ตัว มาเป็นรายการต่างๆ อาทิ เอเชี่ยน โอเพ่น, ไทยแลนด์ โอเพ่น, เอ็กซตร้าชาลเลนจ์, ไทยแลนด์ คลาสสิก, เอเชี่ยน คลาสสิกก้าวไปถึงจุดสูงสุดคือ ชิงแชมป์ทีมโลก ก่อนจะมาปิดยุคที่ ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส ปี 2002
เริ่มต้นในปี 1982 มาจนถึงปี 2002 เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ไทยเราจัดทั้งระดับอาชีพ, ระดับสมัครเล่น นั่นคือชิงแชมป์เอเชีย และเยาวชนเอเชีย รวม 34 รายการ
ยืนยันว่าช่วงเวลานั้นคือยุคทองของแท้
เป็นการพุ่งสู่ฟากฟ้าเมื่อ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ทะยานไปยึดมือ 3 ของโลก ซึ่งเวลานั้น ทุกอย่างดูเหมือนง่ายไปหมด ทั้งการจัดการแข่งขัน การขอสปอนเซอร์ และกระแสตอบรับการถ่ายทอดสด ทั้งในเมืองไทย หรือการส่งสัญญาณกลับมาจากต่างประเทศ
แน่นอนเมื่อมีสูงสุด ย่อมมีตกลงมา “ต๋อง ศิษย์ฉ่อย”ไม่ได้อยู่ในมือท็อปของโลก ทำให้ไม่สามารถจัดการแข่งขันในเมืองไทยได้อีก บวกกับสภาพเศรษฐกิจ ทำให้สนุ้กเกอร์ในเมืองไทย เริ่มจางหายไปในการเป็นเจ้าภาพ แต่ในประเทศก็มีการจัดการแข่งขันรายการอาชีพ เพื่อพัฒนานักกีฬา เป็นหนึ่งในโครงการนำร่อง 13 ชนิดกีฬาของการกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท.)
ประเด็นก็คือ เราได้เห็นสอยคิวโลกจัดในเมืองไทยต่อเนื่องอีกครั้งในการแข่งขัน 6 แดงโลก
สองหนแรก คือศึก อินเตอร์เนชั่นแนล 2008 และต่อด้วย เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ ปี 2009 กระทั่งครั้งที่ 3 กลายเป็นรายการชิงแชมป์โลกอย่างเป็นทางการในปี 2010 หรือ The 2010 SangSom 6-red World Championship
เป็นรายการเดียวในโลกที่ได้มี “มืออาชีพ” แข่งขันกับ “มือสมัครเล่น” นี่คือเหตุผลว่า “ทำไม” บอร์ดบริหารทั้งของเวิลด์สนุ้กเกอร์ กับของเมืองไทยในฐานะ “เจ้าของสิทธิ์ผู้ริเริ่ม” จึงไม่ต้องการให้เป็นรายการสะสมคะแนน
นั่นเพราะเป็นรายการ “หนึ่งเดียวในโลก” ที่มีนักกีฬาระดับอาชีพ ได้ชนกับ แชมป์ทั่วทุกทวีปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเป็น
เหมือนกับการมารวมตัวกัน โดยไม่ได้มีอะไรขวางกั้นกลางระหว่าง มืออาชีพ กับ มือสมัครเล่น โดยใช้“6 แดง” เป็นศูนย์กลางจักรวาล และยุทธจักรสอยคิว
เกมชิงแชมป์โลกจึงมีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2012 เนื่องจากปี 2011 มีศึกชิงแชมป์โลกทีมกลับมาแข่งที่ไทย และจัดยาวมาจนถึงปี 2019 แต่ก็ต้องยุติไปเพราะการระบาดทั่วโลก กระทั่งมาถึงการชิงชัยในปีนี้
คู่ชิงชนะเลิศ ตอกย้ำการเป็น “วันแห่งความสุข” และเป็น “วันแห่งความภูมิใจของเอเชีย” จากการโคจรมาเจอกันระหว่าง เทพไชยา อุ่นหนู กับ ติง จุ้น ฮุย
ดังที่คนรุ่นก่อนปรารถนาให้มันเกิด
ติง จุ้น ฮุย กับ เอฟ นครนายก ชิงแชมป์เพื่อความเป็นหนึ่งในวงการสอยคิวคือ “เดอะ แบทเทิ่ล ออฟ เอเชีย”
ทำไมต้องดีใจด้วย มันมีเหตุผลมาจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่นครับ
“เอฟ นครนายก” เป็นแชมป์สนุ้กเกอร์นักเรียนคนแรกของประเทศไทย หลังจากเอาชนะ “บอล ขอนแก่น” ไปได้ในเกมนัดชิงที่สนามสมาคมฯ ราชมังคลากีฬาสถาน เป็นยุคที่มีการ “ผ่าทางตัน” เพื่อนำนักเรียนลงแข่งขัน โดยมีทั้งผู้เห็นด้วย และผู้ไม่เห็นด้วยจากภาพลักษณ์ของ “กีฬา” ที่ “แล้วมา”
แม้กระทั่งวันเปิดสนามรอบคัดเลือกทั่วประเทศ ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดนครปฐม ยังมีคอลัมนิสต์บางคนที่ “ไม่ได้เกี่ยวกับกีฬา” เขียนโจมตีเหมือนกับว่า จะพาเด็กเข้าสู่ที่ “อโคจร” ไม่ได้ไป “กีฬา”
ไม่ทราบว่า ทุกวันนี้แกยังอยู่ดี กินสบายหรือไม่อย่างไร เมื่อเห็นเด็กที่ได้แชมป์วันนั้น กลายเป็นนักกีฬาระดับอาชีพโลก
เช่นเดียวกันกับ ติง จุ้น ฮุย นี่คือการ “ทะลุกลางปล้อง” ของประเทศจีน ที่ตัดสินนำกีฬาสนุ้กเกอร์บรรจุเข้าสู่โรงเรียน จากเดิมที่ไปไหนใครก็อยากเจอ เพราะ “F4” ยุคแรกของจีนนั้น นิ่มยิ่งกว่าหมูหมักเอามาบะช่อ ก็คือ โก๊ะ หัว, ต้า ไห่ หลิน, ไค เจียงสง และเป็ง ไหว โก๊ะ
การสนับสนุนเต็มที่ก็มาจากประเทศไทยนี่แหล่ะครับ
ซึ่งสอยคิว 6 แดงโลก 2023 ภายใต้ชื่อว่า “ปทุมธานีซิกซ์ เรด เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2023” ชิงถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ชิงเงินรางวัลรวมสูง 11 ล้านบาท ที่ธรรมศาสตร์คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
“เอฟวัน” เทพไชยา อุ่นหนู นักสอยคิวขวัญใจชาวไทย วัย 37 ปี ดวลชิงแชมป์กับ “ไอ้ลูกระเบิด”ติง จุ้น ฮุย ยอดนักสอยคิวชาวจีน วัย 35 ปี
ถือเป็นนัดชิงชนะเลิศของเจเนอเรชั่นใหม่ของสองนักสอยคิวในยุคสหัสวรรษใหม่ของโลกสนุ้กเกอร์
นับเป็นครั้งที่ 3 ที่ทั้งสองคนผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรายการนี้ได้สำเร็จและเคยเป็นแชมป์ไปแล้วคนละหนึ่งสมัย
ติง จุ้น ฮุย กับการออกคิวครองแชมป์ 6 แดงโลก ปี 2016
เอฟ ได้แชมป์ เมื่อปี 2015 ด้วยการสยบ “ไอ้ปลาหมึก”เหลียง เหวินโป๋ 8-2 เฟรม ในการแข่งขันที่แฟชั่นไอส์แลนด์ และเข้าชิงอีกครั้ง ปี 2017 แต่พ่าย “จรวดทางเรียบ” มาร์ค วิลเลี่ยมส์ สิงห์อีซ้ายแห่งเวลส์ คนสไตล์เดียวกัน 2-8 เฟรม
ติง ได้แชมป์ ปี 2016 ต่อจาก เอฟ 1 ปี โดย ติง เอาชนะ “ไอ้ลูกหิน” สจ๊วร์ต บิงแฮม ในเฟรมตัดสิน 8-7 เฟรม ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว และได้รองแชมป์ ปี 2018 แพ้ “ดาบอัศวิน” ไคเรน วิลสัน 4-8 เฟรม
“เอฟ วัน” กับ “ติง จุ้น ฮุย” ถือเป็นนักสนุ้กเกอร์รุ่นใหม่ในยุคสหัสวรรษใหม่ที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในเวทีโลกและสร้างชื่อให้โลกได้รู้จักกับจอมคิวจากทวีปเอเชีย
ถือว่าถูกจับตามองมากที่สุดหลังจากยุคเบิกทางของ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย, มาร์โก้ ฟู เกาจุ้น และโชกัท อาลี
แต่ผลงานในอาชีพโลกและประสบความสำเร็จนั้นแน่นอนที่สุดว่าติง จุนฮุย ดีกว่าอย่างชัดเจน เกือบจะเป็นแชมป์โลก 15 แดงมาแล้วเมื่อปี 2016 แต่ว่าได้ลงรองแชมป์เมื่อแพ้กับ มาร์ค เซลบี้
ติง ได้แชมป์อาชีพ 14 ครั้ง และรายการล่าน้ำจิ้มอีก 4 ครั้ง ส่วน เอฟ ได้ไป 1 รายการคือชู้ตเอาท์ และนอนแรงค์ อีก 2 รายการ
สำคัญก็คือ 2 คนนี้ถูกมองว่าเป็น “ต๋อง 2”
นัยสำคัญเวลานั้นกับคำคำนี้ ก็คือ ติง ฟาด 4 แชมป์ในปีเดียวกัน คือ ค.ศ.2002 แล้วได้ไปเทิร์นโปร ทุกคนพูดเป็นคำเดียวกันว่า “ต๋องสอง” เกิดแล้ว
แต่ไปเกิดที่จีน
ส่วน เทพไชยา ได้ตั๋วไปแข่งอาชีพโลกเมื่อปี 2009 หลังจากได้แชมป์สมัครเล่นโลก 2008 (IBSF World Snooker Championship) เหนือ คอล์ม จีลกรีสต์ จากไอร์แลนด์ 11-7 เฟรม
นี่คือเส้นทางของทั้งคู่ เป็นไอดอลยุคเจนใหม่ ที่ยังคงวาดลวดลายอยู่บนโลกสอยคิว
ถือเป็นกำไรของทุกคน
ตั้งแต่นักกีฬา, คนดู, ผู้สร้าง อย่างแท้จริง
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี