วิทยาศาสตร์ สำหรับเยาวชน : นอนอย่างไร ให้มีสุขภาพดี

วิทยาศาสตร์ สำหรับเยาวชน : นอนอย่างไร ให้มีสุขภาพดี

วันอาทิตย์ ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

การนอนหลับ คือ การพักผ่อนที่ดีต่อสุขภาพ มนุษย์เราใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของชีวิตไปกับการนอนหลับ อวัยวะต่างๆ ในร่างกายโดยเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือดได้พักผ่อน เนื่องจากร่างกายเราไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมากนัก จึงไม่ต้องการการสูบฉีดโลหิตมากเท่าไรนอกจากนี้ การนอนหลับจะมีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย มีการปรับสมดุลของสารเคมีต่างๆ และที่สำคัญในระหว่างที่นอนหลับนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่สมองทำการเรียบเรียงข้อมูลต่างๆ ที่สมองได้รับทราบในวันนั้นและจัดเก็บให้เป็นหมวดหมู่เพื่อให้สามารถดึงมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงนับได้ว่าการนอนเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ทำให้สมองเกิดการจดจำและมีพัฒนาการตามลำดับ แต่เราจะนอนหลับอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและส่งผลดีต่อร่างกาย

จากการวิจัยพบว่า ระยะเวลาในการนอนหลับที่ดีและมีคุณภาพ ในแต่ละช่วงวัยต้องการชั่วโมงการนอนไม่เท่ากัน ดังนี้ เด็กควรนอนวันละ 11-13 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ 7-8 ชั่วโมง


ซึ่งการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ คือ การนอนที่ครบวงจรทุกระยะการหลับ นั่นคือ หลับตื้น เป็นระยะแรกที่มีการหลับตื้นอย่างแท้จริง แต่ยังไม่มีการฝัน หลับลึก ร่างกายจะเข้าสู่โหมดพักผ่อน เมื่อเข้าสู่ระยะหลับลึกเป็นช่วงหลับสนิทที่สุดของการนอนใช้เวลา 30–60 นาที ช่วงระยะนี้อุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิตจะลดลง
อัตราการเต้นของหัวใจลดลงเหลือประมาณ 60 ครั้งต่อนาทีโกรทฮอร์โมนจะหลั่งในระยะนี้ และหลับฝัน คือ ช่วงหลับฝันร่างกายจะได้พักผ่อน แต่สมองจะยังตื่นตัวอยู่ ซึ่งการหลับฝันยังช่วยจัดระบบความจำในเรื่องของทักษะต่างๆ ให้ครบทุกระยะ บางคนชั่วโมงการนอนหลับสั้น แต่คุณภาพของการหลับได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยภายในร่างกายทางด้านพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องและการปรับตัวของร่างกาย บางคนชั่วโมงการนอนมาก แต่ตื่นมาแล้วกลับไม่สดชื่นนั่นเป็นเพราะนอนได้แค่ระยะหลับตื้นหรือสะดุ้งตื่นเป็นพักๆ มีผลทำให้การทำงานของระบบหายใจและหลอดเลือดทำงานหนัก จึงทำให้ตื่นมาแล้วรู้สึกเพลียไม่สดชื่น

อาการที่อาจเกิดขึ้นจากการนอนหลับไม่เต็มที่ซึ่งพบได้บ่อย เช่น ง่วงและเพลียกลางวัน ประสิทธิภาพความคิดความจำลดลง ลืมง่าย กลางคืนหลับๆ ตื่นๆ นอนกรนร่วมกับหยุดหายใจชั่วขณะ ซึ่งหากนอนหลับไม่เพียงพอติดต่อกันเป็นเวลานานจะส่งผลต่อการมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เกิดภาวะอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมอง โรคซึมเศร้า รวมทั้งส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่มากขึ้นกว่าปกติ นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุว่า การนอนหลับที่มีประสิทธิภาพควรนอนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง

แต่ในปัจจุบันคนทั่วโลกเป็นโรคนอนไม่หลับมากถึง 35% สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนเป็นโรคนอนไม่หลับ ก็คือ ความเครียดหรือมีความวิตกกังวลอยู่ในใจ

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคนอนไม่หลับมีแนวทางการรักษาภาวะนอนไม่หลับ โดยแบ่งการรักษาออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่

1.การรักษาโดยไม่ใช้ยา (Non-pharmacologic treatment) เป็นการรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเข้านอนให้เป็นเวลาและปิดไฟในห้องนอนให้มืดสนิท เพื่อช่วยให้ระบบ Circadian rhythm ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และควรหมั่นออกกำลังกายอย่างพอเหมาะควบคู่ไปด้วย

2.การรักษาด้วยการใช้ยา (Pharmacologic treatment) ยาที่นำมารักษาอาการนอนไม่หลับหรือรักษาโรคนอนไม่หลับเรียกว่า “ยานอนหลับ” เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มของยาหลากหลายชนิดที่มีผลโดยตรง หรือมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการง่วงและทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ดังนั้นยานอนหลับจึงมีหลายชนิด มีกลไกการออกฤทธิ์และผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไป สำหรับผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับโดยไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน แพทย์จะให้การรักษาที่เหมาะสม โดยประเมินจากความรุนแรงของอาการนอนไม่หลับ เพื่อกำหนดแนวทางในการรักษา

นักวิจัยด้านศาสตร์การนอนหลับได้แนะนำเคล็ดลับการนอนหลับที่ดี ดังนี้

1.ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน โดยกำหนดเวลานอนและตื่นนอนไว้และต้องปฏิบัติให้ได้ตามนั้น ซึ่งจะทำให้การนอนหลับมีคุณภาพหรือนอนหลับได้ 7-9 ชั่วโมง แต่หากเป็นคนที่เคยชินกับการนอนพักช่วงกลางวัน ไม่ควรนอนเกินครั้งละ 45 นาที เพราะอาจส่งผลให้นอนไม่หลับในช่วงกลางคืน

2.หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้นอนไม่หลับ เช่น การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ กาเฟอีน หรือสูบบุหรี่ หากต้องการดื่มหรือสูบบุหรี่ ควรดื่มหรือสูบก่อนเข้านอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

3.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อหนักหรืออาหารที่ย่อยยากก่อนนอน 4 ชั่วโมง เนื่องจากร่างกายจะต้องทำงานหนักในการย่อยอาหารเหล่านี้ในขณะที่เรานอนหลับ ทำให้หลับไม่สนิท อาจมีอาการแน่นท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อย แต่สามารถดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆก่อนนอนได้ เช่น น้ำอุ่น หรือนมอุ่น เป็นต้น เพราะจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย แต่ไม่ควรดื่มในปริมาณมาก เพราะอาจทำให้ต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก

4.ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการออกกำลังกายในช่วงเย็น จะทำให้นอนหลับสนิทและเป็นการนอนหลับที่มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

5.การปรับสภาพแวดล้อมห้องนอนให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ตั้งอุณหภูมิภายในห้องนอนให้เหมาะสม ปิดเสียงรบกวน งดการใช้เครื่องมือสื่อสารทั้งหมด รวมถึงลดแสงสว่างให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ที่สำคัญห้องนอนหรือเตียงนอนควรใช้เพื่อการพักผ่อนเท่านั้น ไม่ควรนำงานมาทำบนเตียง หรือมีทีวีติดตั้งไว้ในห้องนอน

เรียบเรียงข้อมูลจาก :

https://www.gj.mahidol.ac.th/main/knowledge-2/importance-of-sleeping/

https://www.bangkokinternationalhospital.com/th/health-articles/health-tips/how-to-get-quality-sleep

https://www.nksleepcenter.com/tricks-to-healthy-sleep

https://www.medparkhospital.com/content/10-dos-and-donts-for-better-sleeping

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top