กล่าวคำลา‘เดอะ คิง เมกเกอร์’ แบร์ลุสโคนี่
หากจะเปรียบเทียบ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ คงไม่พ้นกับยอดจอมทรนงอย่าง โจโฉ ที่ไม่ต้องการให้ฟ้าฝนคนใครมาทรยศเค้าได้แม้เพียงปลายเล็บ
มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้พรากเขาไปจากโลกนี้ หลังจากเพิ่งตรวจพบเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ปิดตำนานด้วยวัย 86 ปี
หากนับเรื่องของบทบาทชีวิต น่าจะแบ่งได้ชัดเจนที่สุดคือ 3 เรื่อง นั่นคือการเป็นเจ้าพ่อวงการสื่อโทรทัศน์, การเป็นเจ้าของเอซี มิลาน และการเป็นผู้นำประเทศ
ชีวิตของเขาโลดโผนอย่างมาก แต่สิ่งที่เหลือเชื่อก็คือ เขาสามารถวางตัวเองเป็น “คิงเมกเกอร์” ได้ในทุกวงการที่ล้วงกระเป๋าก้าวเข้าไป
เขาไต่เต้าจากพรสวรรค์ด้านเอนเตอร์เทน เล่นดนตรีในเรือสำราญด้วยการเป็นคนสายฮา ร้องเพลงดี และเล่นดับเบิลเบส ก่อนจะก้าวสู่ธุรกิจการก่อสร้าง จนร่ำรวยขึ้นมา และเป็นผู้ที่จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองกลายเป็นเจ้าของสถานโทรทัศน์อิตาลีถึง 3 ช่อง ย่อมไม่ธรรมดา
ในปี 1986 เข้าซื้อ เอซี มิลาน ยักษ์ใหญ่ลูกหนังอิตาลี ที่กำลังมีปัญหาการเงิน เขาช่วยให้ มิลาน รอดจากการล้มละลาย และแค่สองปีก็ทำให้ทีมได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ในยุคที่ใคร ๆ ก็อยากไป "โกยเงินลีร์"
มาร์โก้ แวน บาสเท่น ถูกดึงตัวมาที่่นี่ และบทละครสู่่ชีวิตจริงก็เกิดขึ้นเมื่อมีการปั้นตัวละครชั้นดีอย่าง "สามทหารเสือดัทช์" มารวมตัวกันที่ซาน ซีโร่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ทีม และเสริมบารมีให้กับ แบร์ลุสโคนี่
กำเนิด รุด กุลลิท, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และแวน บาสเท่น
มิลาน กลายเป็น "โคตรทีม" อย่างแท้จริง จากการทำทีมของ อาร์ริโก้ ซ้าคคี่, นักบอลชั้นนำระดับพระกาฬฝีเท้าดี และผู้บริหารมือทองอย่าง แบร์ลุสโคนี่
ไม่มีใครใส่ใจ หรือโกรธเคืองอะไรกับตัวเขาที่โชว์ความโอ่อ่า, มั่งคั่ง, บ้าผู้หญิง เขาเคยพูดว่า มิลานแพงมาก แต่ผู้หญิงสวยที่สุด ถ้าอยากได้เราก็ต้องจ่ายแพงไม่ใช่เหรอ?!?!?!?!?
ภายใต้การดูแลของเขา มิลาน คว้าแชมป์เซเรีย อา 8 สมัย และถ้วยยุโรป 5 สมัย ก่อนจะขายไปเมื่อปี 2017 แล้วก็ไปทำทีมมอนซ่า เลื่อนชั้นขึ้นสู่กัลโช่ เซเรียอา ลีกสูงสุดของอิตาลี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปีกลาย
ไม่นานก่อนที่เขาจะผันตัวเข้าสู่วงการการเมือง ก่อนได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้นำประเทศ
ในบทบาทของนักการเมือง แบร์ลุสโคนี่ ไม่ธรรมดาครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอิตาลีถึง 3 สมัย ระหว่างปี 1994-1995, 2001-2006 และ 2008-2011 เป็นนายกรัฐมนตรีอิตาลีที่ดำรงตำแหน่งรวมถึง 9 ปี ซึ่งยาวนานที่สุด นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
ประชานิยม และเข้าถึงทุกพื้นที่ เขาได้รับการเลือกตั้งครั้งที่ 2 จากการหาเสียงด้วยการแจกหนังสือว่า ตัวเขาเป็นใคร ประสบความสำเร็จอะไรมาบ้าง เป็นจำนวนถึง 15 ล้านครัวเรือน จนได้ชัยชนะ
แต่ด้วยการมีบุคลิกแบบ "เจ้าพ่อ" เต็มขั้น เขาไม่เกรงกลัวใคร พร้อมชน พร้อมปะทะกับทุกคน และพร้อมในการต่อกรกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหมือนบางครั้งไม่คิดจะแยแสต่อโลกใบนี้ เป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งในตัวของ "คิง เมกเกอร์" อย่างแท้จริง
เขาเคยปล่อยให้ อังเกเล่า แมร์เคิล ผู้นำเยอรมนี ต้องเดินมาทักเก้อ เพราะไปรับโทรศัพท์ ในการประชุมสุดยอดของ NATO แถมยังเคยเรียกเธอว่า "นังนี่เป็นหมูอ้วนไร้เทียมทาน มีก้นที่ใหญ่จนมีเพศสัมพันธ์ด้วยคงไม่ได้!!!"
ยังเคยพูดว่า ส.ส. มาร์ติน ชูลซ์ ชาวเยอรมนี ดูเหมือนผู้พิทักษ์ค่ายกักกันนาซีมากกว่านักการเมือง
หรือจะล้อเลียน บารัค โอบาม่า ว่า มีผิวสีแทนแบบนี้เพราะอาบแดดมา
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการเป็น "จอมเจ้าชู้" เขาได้ติดกล้องแอบดู เฮลเล่ ธอร์นิ่ง-ชมิดท์ นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก และช่วงเวลาที่ทักกันนั้น เขามองทรวดทรงองค์เอวของผู้นำแดนโคนมอย่างไม่สมควร
เขาติดกล้องแอบดูเธอในการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป
คำพูดแปลก ๆ ของเขามีบ่อยครั้งที่สร้างความเสื่อมให้กับตัวเอง อาทิเช่นที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในปี 2003 แบร์ลุสโคนี ถูกถามถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมโลกควรไปลงทุนในอิตาลี
เขาตอบว่า "เรามีเลขานุการที่สวยที่สุดในโลก!!!!!"
เขามีความสัมพันธ์กับ วลาดีเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ทำให้เกิดข้อสงสัยในตัวของเขา รวมไปถึงการสนิทสนมกับ มูฮัมมาร์ กัดดาฟี่ อดีตผู้นำลิเบีย
ในปี 2005 เกมที่ มิลาน ต้องพ่ายแพ้ ลิเวอร์พูล แบบผีหลอก แต่ แบร์ลุสโคนี่ กลับกลายเป็นว่า สมาธิของเขาคือ อยากให้ กาก้า ยอดกองกลางรูปหล่อชาวบราซิล มาออกเดทกับลูกสาวของเขา แต่สุดท้าย ลูกสาวคนสวยเลือกไปออกเดทกับนักบอลบราซิลเหมือนกัน นั่นคือ ปาโต้ ไม่ใช่ กาก้า
ยุครุ่งเรืองของแบร์ลุสโคนี สิ้นสุดลงในปี 2011 เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวทางเพศอีกครั้ง การบริหารงานที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน รวมไปถึงวิกฤตการเงินในประเทศที่ตกต่ำลงนำหน้าเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ทุกคนมักจะมีจุดบวกและลบ ซึ่งแน่นอนที่สุด แบร์ลุสโคนี่ ที่ไม่ยอมเป็น "ด้านเทา" ให้ใครเห็น เมื่อเป็นประเภท "ขาวสุดขั้ว" กับ "ดำถึงขีดสุด" ทุกวันนี้เขามีส่วนสำคัญในการผลักดันรัฐบาลผสมของ จอร์เจีย เมโลนี่ แน่นอนว่า รัฐบาลอิตาลีชุดนี้จะต้องสั่นคลอนกับเสถียรภาพนับจากนี้
เนื่องจากคนกุมหางเสือไม่อยู่แล้ว
ความเก่งกาจอีกข้อก็คือ แบร์ลุสโคนี รู้จักที่จะเลี่ยงหลีกการปรากฏตัวหรือหาเสียงในที่สาธารณะ เขาเคยพลาดถูกทำร้ายมาทั้งที่ระวังตัวอย่างเต็มที่ แต่เขาเลือกปรากฏตัวผ่านสื่อไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ รวมถึงหนังสือพิมพ์ แน่นอนว่ามันอยู่ในเครือบริษัทฟินอินเวสต์ของตัวเขาเป็นหลัก
สำหรับเด็กดูบอลในยุคโน้น เราได้เห็นผู้ชายดูมีตังค์ใส่สูทแต่งตัวเนี้ยบผมเรียบแปล้เข้ามาชมเกม ทั้งจากฟุตบอลถ่ายทอดแห้งคืนวันอาทิตย์ หรือไฮไลท์การแข่งขัน รวมไปถึงโผล่มาประจำในนิตยสารฟุตบอล "เวิลด์ ซอคเกอร์"
เขาเป็นคนที่นำพาความยิ่งใหญ่มายัง เอซี มิลาน จนมีแฟนบอลคับโลกเพราะเป็นโคตรทีม
ไม่แปลกที่เขาจะนำตัวเองก้าวจากผู้ผลิตสื่อ ต่อเนื่องไปยังทีมฟุตบอล แล้วไปสู่ถนนการเมือง
เรื่องดุเด็ดเผ็ดมันส์ขิงข่าในชีวิตต้องยอมรับว่า แบร์ลุสโคนี่ ไม่เคยเป็นรองผู้ใดในใต้หล้า ถ้าวัดกันปอนด์ต่อปอนด์ก็สูสีเหลือประมาณกับ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก เจ้าพ่อแห่งวงการสื่อโลก วัย 92 ปี ที่่ยังเดินหน้าปี๊ปเตะเล่นทุกวัน หลังจากเพิ่งหมั้นเป็นครั้งที่ 5 ไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว
ดังนั้นใครจะชังหรืออย่างไรไม่ว่า ใครจะรักอย่างไรก็ไม่แน่ใจมันแต่ละบุคคล
แต่สำหรับ "รอสโซเนรี่" ทั้งโลก
นี่คือวันที่มืดมิดอย่างแท้จริง............
#บีแหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี