ชัยชนะของ “น้องเทนนิส” เรืออากาศตรีหญิงพาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ยอดหญิงเทควันโดประเภท 49 กิโลกรัม สร้างความประทับใจ และเรียกกระแสเอเชี่ยนเกมส์ที่ดูเหงาๆ เบาๆ แปลกๆ
ให้กลับมาคึกคักได้อย่างรวดเร็ว
ความสำเร็จครั้งนี้ตอกย้ำอีกครั้งว่า สมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ในยุคปัจจุบันที่ถือบังเหียนโดย ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ คือสมาคม “เลือดหลัก” ที่นำความสำเร็จให้กับประเทศไทย ใน พ.ศ.นี้
ชัยชนะของเธอที่หลายคนบอกว่า เธอกำลังจะแพ้แบบ “กังขา” หลังจากคะแนนอยู่ๆ ก็พุ่งแบบน่าตกใจไปทางฝั่งฟากของเจ้าภาพ
นาทีนั้นนั่นหมายความว่า เธอกำลังจะเสียแชมป์ที่เคยทำได้ที่อินโดนีเซีย 2018
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะของน้องเทนนิสเกิดขึ้นจนได้ และสิ่งที่ต้องไปร่วมด้วยช่วยกัน สำคัญคือ การทำงานร่วมกันระหว่างโค้ช กับ นักกีฬา ในการแก้ไขสถานการณ์
หรือที่เรียกว่า ทำงานกันเป็นทีม และทันท่วงที
“โค้ชเช” ชัชชัย เช ที่ตัดสินใจได้อย่างทันท่วงทีไปประท้วงจังหวะที่คะแนนพุ่งจากตามหลัง 0-6 หลุดไปยาวไกลถึง 0-23 เนื่องจากแต้มขึ้นผิดปกติ
เมื่อผู้ตัดสินต้องหยุดเกมเพื่อปรึกษา สุดท้าย ลดคะแนนลงมาเหลือ ٠-١١ ทว่า โค้ชเช ยังประท้วงต่อเนื่อง เพราะมองว่า ยังไงแต้มมันควรจะเหลือแค่ ٠-٦ และเป็นผลสำเร็จ
ฟากฝั่ง จีน เราก็เห็นว่า เขาก็ไม่ยอม แต่สุดท้ายไม่เป็นผล เพราะสิ่งที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันที่มัน เร็ว, แรง และอันตรายมากๆ
อาจจะบอกได้เป็นนัยๆ ว่า “ไม่กล้าโกง (มาก)”
หากมีการตัดสินที่ผิดพลาดแบบกังขา หรือว่าจังเบอร์มากเกินไป กีฬาประเภทนั้น อาจจะถูกลงโทษและถูกตัดออกจากโอลิมปิกเกมส์ในอนาคตทันที
ตัวอย่างความขุ่นมัวมีให้เห็นในกีฬาอย่าง มวยสากล
เทควันโดเอง ถือเป็นกีฬาที่ตัดสินได้ค่อนข้างโปร่งใสที่สุด ด้วยกติกาที่ค่อนข้างเคลียร์, ชุดเกราะที่แข่งขัน และไม่ได้ปะทะแบบต่อเนื่องจนเรามองไม่ทัน
สิ่งสำคัญก็คือ จากนี้ทุกย่างก้าวเราจะได้ น้องเทนนิส สร้างประวัติศาสตร์แบบที่ทุกคนก็รู้ว่า เรากำลังจะต้อง “นับถอยหลัง” เนื่องจากเธอกำลังจะ “เลิกเล่น”
“น้องเทนนิส” ได้ให้สัมภาษณ์กับตัวผมผ่านทางรายการ “THE LOCKER ROOM ห้องไม่ลับ คลับซุปตาร์ by BDMS” ที่ออกอากาศทั้งออนไลน์และออนแอร์ ทาง พีพีทีวี เอชดี 36 เมื่อวันจันทร์ที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งตอนนั้นทีมงานของเราต้องการถามไถ่ถึงอนาคตของเธอ
ก่อนจะได้รับคำตอบว่า จะอำลาการแข่งขันในฐานะนักกีฬาทีมชาติ หลังจากการแข่งขันโอลิมปิกเกมปี 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศสสิ้นสุดลง
เธอบอกว่า ตอนนี้ “เจ็บไปทั้งตัว” อาการบาดเจ็บต้องรอให้เลิกก่อนแล้วค่อยมา “ซ่อมร่าง” ซึ่งเราท่านก็หวังว่าเธอจะ “ซ่อมได้”
เพราะอาการเจ็บของน้องสาหัสและสะสมมานานมาก
เธอบอกว่า เรื่องนี้ได้ปรึกษากับทุกฝ่ายมาพักใหญ่แล้วเนื่องจากอายุที่มากขึ้นและมีอาการบาดเจ็บติดตัวมามากมาย ทำให้เลือกที่จะวางเป้าหมายในการต่อสู้สถานีสำคัญสถานีสุดท้ายนั่นคือโอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงปารีส
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เทนนิส มีความมุ่งมั่นต้องใจจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศชาติทำ เพราะที่ผ่านมานั้นการได้เหรียญทองโอลิมปิกที่ประเทศญี่ปุ่น คือการทำตามความฝันของพ่อ, ทำเหรียญนี้ให้กับกองเชียร์ และทำให้กับประเทศชาติ
แต่ครั้งนี้ 2024 ขอต่อสู้โดยเป้าหมายหลักนั่นคือเป็นกำไรชีวิตให้กับตัวเธอเอง
ในบันทึกแห่งโลกกีฬา มีนักกีฬาไทยที่ได้เหรียญโอลิมปิก 2 เหรียญเพียงแค่สองคนเท่านั้น
คนแรกก็คือ มนัส บุญจำนงค์ ได้เหรียญทองมวย ปี 2004 ที่เอเธนส์ กรีซ และเหรียญเงิน 2008 ที่ปักกิ่ง จีน
คนที่สองก็คือน้องเทนนิส นี่แหล่ะ ได้เหรียญทองแดงปี 2016 ที่บราซิล และได้เหรียญทองปี 2021 ที่ญี่ปุ่น ดังนั้นหากน้องเทนนิสคว้าเหรียญรางวัลใด เหรียญรางวัลหนึ่งมาครอง
ก็จะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของนักกีฬาจากประเทศไทยที่ได้เหรียญรางวัลมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติถึง 3 เหรียญ และ 3 สมัยติดต่อกัน
อย่างที่นำเรียนเขียนบอกไปว่า ทุกย่างก้าวของเธอคือประวัติศาสตร์ และหวังว่าเธอจะจบเส้นทางในปีหน้าด้วยความสำเร็จขั้นสูงสุด
อย่างที่เธอได้ทุ่มเทสุดหัวใจขนาดนี้
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี