ในประเทศสหรัฐอเมริกามีกฎหมายบังคับให้เด็กนักเรียนทุกคนที่จะเล่นกีฬาต้องพบแพทย์เพื่อซักประวัติและตรวจร่างกายก่อนเล่นกีฬาปีละหนึ่งครั้ง (pre-participation examination; PPE) หรือ เรียกสั้นๆ ว่า sports physical เพื่อความปลอดภัยของเด็กหรือนักกีฬานั่นเอง การทำ sports physical นั้น จะทำให้นักกีฬาได้รู้พื้นฐานทางสุขภาพของตัวเองว่าปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนในการเล่นกีฬา หรือมีโรคอะไรซ่อนอยู่ที่อาจเป็นอุปสรรคหรือเป็นอันตรายต่อการเล่นกีฬาหรือไม่ ซึ่งจากสถิติพบว่านักกีฬามีโอกาสเสี่ยงที่จะตรวจพบความผิดปกติ (ที่ต้องการการตรวจอย่างละเอียดเพิ่ม) 5-15% เลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้เรามักพบเห็นได้บ่อยในข่าวว่ามีนักกีฬาเสียชีวิตในขณะเล่นกีฬา ทั้งๆ ที่ไม่มีอาการผิดปกติแสดงให้เห็น สาเหตุส่วนใหญ่จากการเสียชีวิตมาจากความผิดปกติของหัวใจ โดยหนึ่งในสามเป็นนักกีฬาที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี ฉะนั้นการคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงในการเล่นกีฬาจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
Sports physical ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?
Sports physical ประกอบไปด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน 2 ประการ คือ การซักประวัติ และการตรวจร่างกาย
การซักประวัติ : แพทย์จะทำการซักประวัติตามแบบฟอร์มการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเล่นกีฬา (50 คำถาม) ประกอบไปด้วย คำถามที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ โรคปอด ประวัติการแพ้ยา การใช้ยา การบาดเจ็บในอดีตและในปัจจุบัน การกระทบกระเทือนทางสมอง โรคภูมิแพ้และการกินยาที่เกี่ยวข้อง โรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกีฬา การกินอาหาร การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวประจำเดือน การเดินทางไปแข่งขันต่างประเทศ การฉีดวัคซีนการบาดเจ็บ การเป็นตะคริวขณะฝึกซ้อมหรือขณะแข่งขัน เป็นต้นการตรวจร่างกาย : แพทย์จะทำการประเมินภาวะโภชนาการ โดยการประเมินจากส่วนสูง น้ำหนักตัว ร้อยละของไขมันในร่างกาย ตามมาด้วยการวัดความดันโลหิต (ความดันโลหิตสูงเป็นความผิดปกติทางระบบหัวใจที่พบได้บ่อยที่สุดในนักกีฬา)การฟังเสียงหัวใจและปอด (โรคหัวใจบางชนิด เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจโต หัวใจ
เต้นผิดปกติ พบได้บ่อยในนักกีฬา และมักเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในขณะเล่นกีฬา) โดยเฉพาะในนักกีฬาบางคนที่มีความสูงเป็นพิเศษ อาจพบจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติได้บ่อย ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากโรคทางพันธุกรรมบางอย่าง เช่น Marfan Syndrome โดยโรคนี้สามารถตรวจพบได้จากความผิดปกติของเสียงของหัวใจ ความยาวของแขนและนิ้ว ความยืดหยุ่นของข้อต่างๆ และความผิดปกติของเลนส์ลูกตา การตรวจระบบประสาท ระบบสายตาระบบหู ระบบช่องท้อง (ว่ามีก้อนหรือ มีตับ ม้าม โต หรือไม่)ในผู้ชายจะมีการตรวจลูกอัณฑะเพื่อหาภาวะอัณฑะใบเดียวหรือภาวะไส้เลื่อน และการตรวจร่างกายของนักกีฬาที่แตกต่างจากการตรวจร่างกายในเด็กทั่วไป คือ การตรวจระบบข้อและกล้ามเนื้อ เพื่อประเมินการบาดเจ็บในปัจจุบันและความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บในอนาคต เช่น มีการบาดเจ็บตามกล้ามเนื้อ ข้อไหล่ ข้อศอก ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อเท้าหรือไม่ ข้อต่างๆ มีความยืดหยุ่นหรือหลวมมากเกินไปหรือไม่ มีเท้าแป เท้าปก หรือเท้าผิดรูปอื่นๆ หรือไม่ ซึ่งความผิดปกติในกล้ามเนื้อและข้อต่างๆ เหล่านี้อาจนำไปสู่การบาดเจ็บในอนาคตได้
ใครบ้างควรได้รับการตรวจ Sports physical?
ผู้ที่ควรได้รับการตรวจ คือ ผู้ที่เล่นกีฬาในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาระดับโรงเรียน สโมสรของโรงเรียน มหาวิทยาลัย นักกีฬาทีมชาติ นักกีฬาพิเศษ เช่น ผู้พิการทางร่างกายหรือทางปัญญา ที่มีอายุตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป (หมายความว่า ต้องเริ่มตรวจกันตั้งแต่ระดับประถมเลยทีเดียว) ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตรวจ คือ ประมาณ 6 สัปดาห์ก่อนที่จะถึงฤดูกาลเล่นกีฬา (ที่ควรเป็น 6 สัปดาห์เนื่องจากหากตรวจพบความผิดปกติ นักกีฬาจะได้มีเวลาในการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมและแก้ไขสิ่งที่ผิดปกติได้ทันก่อนฤดูกาลจะเริ่มขึ้น) ควรตรวจบ่อยแค่ไหน? โดยปกติแล้วควรตรวจทุกปี หรือ ไม่เกินทุก 3 ปี ในทุกๆ ปีจะต้องมีการซักประวัติเพิ่มเกี่ยวกับ 3 H ของปีที่ผ่านมา ได้แก่ Heart, Heat, Head (โรคหัวใจ เกี่ยวกับโรคลมแดด และประวัติศีรษะได้รับกระทบกระเทือน) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้นักกีฬาเสียชีวิตได้บ่อย
ใครควรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจบ้าง
สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำว่านักกีฬาทุกคนควรตรวจคัดกรองด้วย EKG (การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ) ตั้งแต่อายุ 12-35 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีประวัติเสี่ยง 14 ข้อ เช่น มีประวัติหัวใจผิดปกติ (เคยเป็นลม หน้ามืดขณะออกกำลังกาย ความดันโลหิตผิดปกติ เสียงหัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ) ผลจากการคัดกรองด้วย EKG สามารถจำแนกนักกีฬาได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มปกติกลุ่มสีเทา(มีความเสี่ยง) และกลุ่มผิดปกติ โดย 2 กลุ่มหลังเป็นกลุ่มที่จะต้องได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หรือทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต และทำรักษาโรคต่อไป
การตรวจเลือดบอกอะไร?
นอกจากนี้แล้ว การตรวจเลือด หรือ biomarker ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เล่นกีฬา/นักกีฬา โดยค่าเลือดจะถูกนำมาใช้ในการประเมินภาวะโภชนาการของนักกีฬา เช่น ภาวะทุพโภชนาการ (การได้รับสารอาหารบางชนิดไม่เพียงพอ เช่น วิตามินดี ธาตุเหล็ก ซึ่งพบได้บ่อยในนักกีฬา) หรือ ภาวะโภชนาการเกิน (การได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินไป เช่น ไขมัน ทำให้ไขมันในเลือดสูง) ซึ่งการตรวจเลือดถือเป็นวิธีการประเมินภาวะโภชนาการที่มีความไวสูง กล่าวคือ สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ร่างกายยังไม่แสดงอาการ ทำให้แพทย์สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
ในส่วนของการตรวจสอบภาวะ overtraining ภาวะพร่องพลังงาน รวมถึงอาการแปรปรวนของลำไส้ขณะออกกำลังกายที่เป็นผลมาจากอาหารที่กินก่อนออกกำลังกายทำได้หรือไม่ อย่างไร หมอจะขอกล่าวถึงในรายละเอียดในตอนต่อไปครับ
โดย รศ.ดร.นพ.เมษัณฑ์ ปรมาธิกุล
แพทย์เวชศาสตร์การกีฬา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี