ตั้งแต่ดูฟุตบอลมา “เชลซี” คือหนึ่งในทีมที่มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งผู้จัดการทีมที่น่าสนใจ และน่าประหลาดใจอยู่บ่อยครั้ง

กว่า 20 ครั้งแล้ว ที่ทีมเปลี่ยนแปลงกุนซือในยุคพรีเมียร์ลีก1992-2024

คนรุ่นเดิมๆ ก่อนหน้านั้นถ้าตามหลักบัญชีประวัติศาสตร์ ชื่อของ ทอมมี่ ดอกเฮอร์ตี้, เดฟ เซ็กซ์ตัน, แดนนี่ บลานช์ฟลาวเวอร์ หรือ เซอร์เจฟฟ์ เฮิร์สท์ ถือว่า “เบอร์ใหญ่” มากๆ

กระทั่งมาในยุคที่ได้ดูฟุตบอล 80 จนกระทั่งถึงการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งสำคัญ เมื่อ เกล็น ฮ็อดเดิ้ล มารับไม้ต่อจาก เอียน ปอร์เตอร์ฟิลด์ ที่คุมทีมคนแรกในยุคพรีเมียร์ลีกขึ้นชั้นไปจับงานผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เมื่อปี 1996

ผู้จัดการทีมของเชลซี กลายเป็น “สีสัน” แห่งวงการฟุตบอล ก่อนที่ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช จะเดินทางมาซะอีก

คำจำกัดความ “เซ็กซี่ฟุตบอล” เกิดขึ้นทันทีเมื่อ รุด กุลลิทถูกดันขึ้นมาเป็นกุนซือเมื่อซัมเมอร์ 1996 ฮือฮามากในช่วงนั้น เพราะยุคพรีเมียร์ลีก เพิ่งเริ่มได้ไม่นาน แถม กุลลิท เองก็เป็นนักเตะระดับโลก

ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น นับเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงของ เชลซี อย่างแท้จริง เนื่องจากเจ้าของร่วมอย่าง แมทธิว ฮาร์ดิ้งก็มาเสียชีวิตจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก ในเดือนตุลาคมปีนั้น ทำให้งานที่เหลือเป็นของ เคน เบตส์ ในการบริหารทีม

เมื่อเซ็กแต่ไม่ซี่ กุลลิท ต้องไป ทีมดัน จานลูก้า วิอัลลี่ ขึ้นมาทำงาน ปี 1998 ต่อด้วย เคลาดิโอ รานิเอรี่ นับเป็นช่วงเวลาแห่งสีสันแห่งโลกฟุตบอล เพราะ พรีเมียร์ลีก ตั้งไข่

เชลซี ใช้ผู้จัดการทีมจากนอกเกาะทั้งนั้น

เคน เบตส์ หาผู้ลงทุนใหม่จนได้ และปิดดีลกับ “เสี่ยหมี” แล้วโลกของเชลซีก็เปลี่ยนไปตลอดกาล

ทั้งโลกของฟุตบอล และโลกของผู้จัดการทีม

รานิเอรี่ “ทิงเคอร์แมน” โดนปลดในหน้าร้อนปี 2004 และคนหนุ่มไฟแรงอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาทำงานพร้อมกับฉายาที่ตั้งเองว่า “เดอะ สเปเชี่ยล วัน”

แชมป์พรีเมียร์ลีก กลับมาที่เดอะ บริดจ์ ครั้งแรกในรอบครึ่งศตวรรษ แต่หลังจากนั้นแค่ 2 ซีซั่น ถ้วยพรีเมียร์ลีก 2 ปีซ้อน 2005 กับ 2006 และดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยในประเทศปีต่อมา 2007 ไม่อาจรั้งเก้าอี้ของ มูรินโญ่ ได้

อัฟราม แกรนท์ ผู้อำนวยการฟุตบอลของสโมสร เข้ามาทำทีมกลางคัน เป็นคนอิสราเอลคนแรกด้วยที่คุมทีมในพรีเมียร์ลีกก่อนจะได้ “ทริปเปิ้ลรองแชมป์” ทำให้ต้องโดนปลด หลังจากอยู่ได้แค่ 8 เดือน และเพื่อนสนิทเสี่ย

หลุยส์ เฟลิปเป้ สโคลารี่ โค้ชระดับแชมป์โลกของบราซิล อยู่ได้ 7 เดือน ก็ไม่รอด และปฏิบัติการใช้ “ผู้จัดการทีมชั่วคราว” ก็เกิดขึ้นยกแรก

กุส ฮิดดิ้งค์ เข้ามาขัดตาทัพ ทำทีม 3 เดือนครึ่ง ได้แชมป์เอฟเอ คัพ 2009

ทีมได้ คาร์โล อันเชล็อตติ มือปืนอิตาเลียน มาทำ 2 ฤดูกาลเป็นดับเบิ้ลแชมป์ถ้วยพรีเมียร์ลีก กับ เอฟเอ คัพ ปี 2010 แต่ปีต่อมาเมื่อมือเปล่าก็ต้องไป

ปี 2011-12 การเปลี่ยนแปลงกุนซือของเชลซี ยังถูกบันทึกด้วยความหฤหรรษ์อีกครั้ง เมื่อ อังเดร วิลลาช-โบอาช หรือ “มูรินโญ่ มาร์ค ทู” เข้ามาด้วยความมั่นใจ แต่อยู่ได้แค่ 8 เดือนเศษๆ ก็โดนไล่ออก

แต่คนที่มาแทนอย่าง โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ อดีตฮีโร่ของทีมที่เซ็นสัญญาเป็น “ผู้จัดการชั่วคราว” กลับทำทีมเป็นแชมป์เอฟเอ คัพ ก่อนจะพาทีมเติมฝันเสี่ย ด้วยการเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยแรกได้สำเร็จ

ดับเบิ้ลแชมป์ของ ดิ มัตเตโอ เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2012 พร้อมได้สัญญา 2 ปี แต่เปิดซีซั่นมาได้ 3 เดือนเขาถูกไล่ออก

ทีมใช้มุขเดิมตั้ง “ผู้จัดการทีมชั่วคราว” กับคำใหม่จาก Caretaker มาเป็น Intertim Manager พาทีมได้แชมป์ยูโรป้า ลีกแต่ไม่ได้สัญญาระยาว

มูรินโญ่ กลับมาอีกครั้งด้วยสโลแกนเบาลงกว่าเดิม คือ “เดอะ แฮปปี้ วัน” คราวนี้ซีซั่นแรกอาจจะมือเปล่า แต่ซีซั่นต่อมาก็พาทีมได้แชมป์พรีเมียร์ลีก กับ ลีกคัพ 2015

จนแล้วจนรอดเปิดซีซั่นใหม่แค่เดือนธันวาคม เขาก็ต้องไปจากทีม

ฮิดดิ้งค์ เข้ามา “รักษาการแทน” เป็นคำรบที่ 2 ครั้งนี้ตื่นเต้นสุดคือ ทีมจบอันดับ 10

อันโตนิโอ คอนเต้ ยกคณะมาจากอิตาลี ทำทีมปีแรกได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ทันที ในปี 2017 แต่ในช่วงซัมเมอร์นั้น มีข่าวว่าเขาจะไม่กลับมาทำงานที่เดอะ บริดจ์ อีกต่อไป อย่างไรก็ตามสุดท้ายเขากลับมาพาทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ 2018 แต่ก็ไปจากทีมอีกคน

“อิตาเลียน จ๊อบ” ยังคงดำเนินต่อไปที่นี่ เมื่อ เมาริซิโอ ซาร์รี่ สิงห์อมควันจากนาโปลี มาทำงาน และได้แชมป์ยูโรป้า ลีก 2019 พร้อมกับตำนาน “ไม่ยอมเปลี่ยนออก” ของ เกปาอาร์ริซาบาลาก้า ในนัดชิงลีกคัพ

สุดท้ายความปรารถนาของ ซาร์รี่ ที่ต้องการจะใกล้ชิดกับพ่อแม่ในอิตาลีมากขึ้น ทำให้มีการเจรจาแยกทาง หลังจากทำงานแค่ปีเดียว

แฟรงค์ แลมพาร์ด ตำนานนักเตะของทีม เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง หลังจากเกือบจะพาร์ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ขึ้นชั้น แต่ แลมพ์ ก็กระดูกแตกที่นี่เมื่อคุมทีมไปซีซั่นครึ่ง ก็ถูกปลด

แล้วเหตุการณ์มันก็ไปละม้ายคล้ายกับปี 2012

โธมัส ทูเคิ่ล โค้ชชาวเยอรมัน เข้ามาคุมทัพด้วยสัญญา 18 เดือนพร้อมออปชั่น และเขาก็พาทีมครองเจ้ายุโรป ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก 2021 ด้วยการทุบ แมนฯซิตี้ 1-0 หลังจากทำงานได้ 3 เดือนเศษๆ และพาทีมไปเป็นแชมป์สโมสรโลก

แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์โลก กับการแซงก์ชั่นทางการเมือง กระทบกระเทือน เชลซี อย่างเต็มแข้ง เมื่อ รัสเซีย บุก ยูเครน และสหราชอาณาจักร สั่งตัดบรรดาเศรษฐีจากแดนหมีขาวไม่ให้มีที่อยู่บนเกาะมหาสมบัตินี้อีกต่อไป

เสี่ยหมีต้องขายกิจการ เวลานั้น เชลซี ได้ดับเบิ้ลรองแชมป์บอลถ้วยในประเทศ ทั้งเอฟเอ คัพ และลีกคัพ ท่ามกลางความระส่ำระสายกับข่าวลือต่างๆ นานา

ท้ายที่สุด เมื่อ โบห์ลี่ เข้ามาบริหารจัดการ ทูเคิ่ล ก็อยู่ได้หลังเปิดซีซั่น 2022-23 แค่ไม่เต็มเดือน

แกรห์ม พ็อตเตอร์ กระโดดจาก ไบรท์ตัน เข้ามารับงาน ด้วยสัญญาระยะยาว 5 ปี แต่ทำทีมหัวตกและถูกปลดไปในวันที่ 2 เมษายน 2023

บรูโน่ ซัลตอร์ ขัดตาทัพให้สี่ซ้าห้าเกม และทีมก็กลับไปตั้ง แฟรงค์ แลมพาร์ด มาเป็น Caretaker

แน่นอนว่า ตำนานชิ้นนี้ต้องปี้ป่นอีกรอบ

จนถึงซัมเมอร์ 2023 มีการแต่งตั้ง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เข้ามาทำงาน พาทีมเข้าชิงลีกคัพ แต่ไม่ถึงแชมป์ แล้วก็ยืนยันว่า “จากกันดีกว่า”

ล่าสุด เอ็นโซ่ มาเรสก้า ประสบการณ์รุกกี้ปีเดียวในการเป็นโค้ช ที่พา เลสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นชั้นมา ได้มาทำงาน

ที่ผ่านมา เจ้าของทีมของเชลซี อาจจะมีบางอย่างที่คล้ายกันนั่นคือ “สไตล์” คล้ายกันนั่นคือ ปลดได้ปลด ตั้งได้ตั้ง ลุยได้ลุย เปลี่ยนได้ก็เปลี่ยน

แต่ดูเหมือนกับว่า เสี่ยหมี จะมี “สติ” ที่ดีกว่าใคร

บางครั้งจะใจร้อนหรือร้อนใจในการบริหาร ตั้งเพื่อนบ้าง ซื้อพวกบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังทาง เชลซี สู่ความสำเร็จได้

ภาพนั้นมันคือภาพจำของ แฟนบอล แต่เป็นภาพหลอนของเสี่ยท็อดด์

เพราะความสำเร็จของเสี่ยหมี และเหมือนกับว่า เขาเกิดมาเพื่อเชลซี และเชลซีเกิดมาเพื่อเขา นี่คือสิ่งที่แฟนสิงห์บลูส์ ไม่ลืมเลือน

ยังผลให้ เสี่ยท็อดด์ เอง เหมือนกับต้องการ “ลบภาพ” ความเป็นเสี่ยหมีออกไปให้เร็วที่สุด เหมือนกับต้องการ “ซื้อใจ”
แฟนบอล

จุดนี้เข้าใจได้ แต่ไม่เข้าใจก็คือ ของอย่างนี้จะรีบไปถึงไหน

วิธีการของฟุตบอล ไม่ได้เหมือนหรือไม่ได้คล้ายเลยกับ อเมริกันเกมส์

กรุงโรมไม่ได้สร้างวันเดียว และตอนที่พังก็ไม่ใช่แค่วันเดียว ยันไว้ได้เป็นร้อยๆ ปี

“ลูกผู้ชายต้องซื้อ” อันนี้เข้าใจ

แต่บางครั้งต้อง “ค่อยๆ จ่าย” อย่างละเมียดละไม และใจเย็น