ลุค ชอว์ : นักเตะมากพรสวรรค์ที่ต้องต่อสู้กับอาการบาดเจ็บ

ลุค ชอว์ แบ๊กซ้ายของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงในวงการฟุตบอลอังกฤษ แต่ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคจากอาการบาดเจ็บเรื้อรัง โดยเฉพาะปัญหากล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstring Injury) ซึ่งส่งผลกระทบต่อฟอร์มการเล่นและทำให้เขาต้องพลาดการลงสนามเป็นระยะ

อาการบาดเจ็บของชอว์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะในฤดูกาล 2023/24 และ 2024/25 เขาต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังหลายครั้ง ส่งผลให้ต้องพลาดการแข่งขันสำคัญทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ คำถามสำคัญคือ ทำไมอาการบาดเจ็บนี้ถึงเกิดขึ้นบ่อยในนักฟุตบอล? และเราสามารถป้องกันหรือรักษาได้อย่างไร?

ทำความเข้าใจกับอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง

กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstring) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณด้านหลังของต้นขา มีหน้าที่ช่วยในการงอเข่าและเหยียดสะโพก ซึ่งเป็นท่าทางสำคัญในการวิ่ง, กระโดด และเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว

อาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อนี้พบได้บ่อยในนักกีฬาฟุตบอล โดยเฉพาะในจังหวะที่ต้องเร่งความเร็วหรือหยุดกะทันหัน กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังอาจได้รับแรงกระชากมากเกินไป ทำให้เกิดการฉีกขาด

ระดับของการบาดเจ็บสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ

1. ระดับที่ 1 (Mild strain) : มีอาการตึงหรือปวดเล็กน้อย แต่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้

2. ระดับที่ 2 (Partial tear) : กล้ามเนื้อฉีกขาดบางส่วน ทำให้มีอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวลำบาก

3. ระดับที่ 3 (Complete tear) : กล้ามเนื้อฉีกขาดอย่างสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถใช้งานขาได้ตามปกติ ต้องใช้เวลาฟื้นฟูยาวนาน

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ

1. การใช้กล้ามเนื้อหนักเกินไป-การวิ่งด้วยความเร็วสูงหรือเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน

2. ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ-กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) แข็งแรงกว่ากล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังมากเกินไป

3. การวอร์มอัพที่ไม่เพียงพอ-การเริ่มฝึกซ้อมหรือแข่งขันโดยไม่ได้เตรียมร่างกายให้พร้อม

4. ความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ-การฝึกซ้อมหรือแข่งขันอย่างหนักโดยไม่มีเวลาพักฟื้นเพียงพอ

5. ประวัติอาการบาดเจ็บเดิม-นักกีฬาที่เคยบาดเจ็บที่ Hamstring มาก่อน มีโอกาสบาดเจ็บซ้ำสูง

แนวทางการป้องกันอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง

การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถลดโอกาสเกิดอาการบาดเจ็บได้ โดยมีแนวทางที่แนะนำดังนี้

1. การวอร์มอัพและยืดกล้ามเนื้ออย่างเหมาะสม

• ควรทำ Dynamic Stretching ก่อนฝึกซ้อมหรือแข่งขัน เช่น Leg Swings, High Knees, Butt Kicks

• หลังการฝึกซ้อมควรทำ Static Stretching เพื่อลดความตึงของกล้ามเนื้อ

2. ฝึกเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

• Nordic Hamstring Curl: มีงานวิจัยยืนยันว่าช่วยลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังได้

• Romanian Deadlifts และ Glute Bridge: ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ Hamstring และสะโพก

3. พัฒนา Core และ Stability

• ฝึก Plank, Side Plank, Single-leg Deadlift เพื่อเพิ่มความมั่นคงของแกนกลางร่างกาย

4. ควบคุมปริมาณการฝึกซ้อม (Load Management)

• หลีกเลี่ยงการฝึกหนักเกินไป และให้มีวันพักฟื้นที่เหมาะสม

5. ปรับเทคนิคการวิ่งและเปลี่ยนทิศทาง

• ฝึกการเร่งความเร็วและการหยุดอย่างเป็นระบบ เพื่อลดภาระต่อกล้ามเนื้อ

แนวทางการรักษาหากได้รับบาดเจ็บ

1. พักฟื้น (Rest)-หยุดกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการปวด

2. การประคบเย็น (Ice Therapy)-ใช้ถุงน้ำแข็งประคบ 15-20 นาที ทุก 2-3 ชั่วโมง ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก

3. การพันรัดและยกขาสูง (Compression & Elevation)-ลดอาการบวมของกล้ามเนื้อ

4. กายภาพบำบัด (Rehabilitation)-ค่อย ๆ ฟื้นฟูด้วยการยืดกล้ามเนื้อและฝึกความแข็งแรง

5. การกลับเข้าสู่สนาม (Return to Play)-ต้องผ่านการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย เช่น Sprint Test, Agility Test ก่อนกลับไปแข่งขัน

บทเรียนจากลุค ชอว์ : การป้องกันดีกว่าการรักษา

กรณีของ ลุค ชอว์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า อาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังสามารถส่งผลกระทบต่ออาชีพของนักฟุตบอลได้อย่างมาก นักกีฬาและบุคลากรทางการกีฬาไม่ควรมองข้ามการวอร์มอัป การฝึกความแข็งแรง และการบริหารภาระการฝึกซ้อมอย่างเหมาะสม

สำหรับประชาชนทั่วไปที่ออกกำลังกายเป็นประจำไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอลสมัครเล่นหรือผู้ที่วิ่งออกกำลังกาย ก็ควรให้ความสำคัญกับการดูแลกล้ามเนื้อเช่นกัน เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

การป้องกันที่ดีจะช่วยให้เราสามารถเล่นกีฬาได้อย่างเต็มที่และลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น เพราะในวงการกีฬา “การป้องกันดีกว่าการรักษา” เสมอ

รศ. ดร. นพ. เมษัณฑ์ ปรมาธิกุล

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์

เชี่ยวชาญด้านการรักษาบาดเจ็บจากกีฬา