วันจันทร์ ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะเปลี่ยนไปใช้วิธีการเงินที่ยุติธรรมแบบใหม่(Financial Fair Play )ตั้งแต่ฤดูกาลหน้า โดยพิจารณาจากค่าใช้จ่ายของทีม
สโมสรต่างๆ ได้ประชุมกันที่กรุงลอนดอน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อลงคะแนนเสียงใน 3 แนวทางที่เป็นไปได้ในการแทนที่กฎกำไรและความยั่งยืน (PSR)
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายของสโมสร (SCR) ได้รับเสียงสนับสนุน 14 เสียง และคัดค้าน 6 เสียง ซึ่งเป็นจำนวนเสียงขั้นต่ำที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลงกฎ
คือเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้น
จากเดิม กฎผลกำไรและความยั่งยืน (Profit and Sustainability Rule: PSR):
เป็นกฎที่พรีเมียร์ลีกอังกฤษใช้เพื่อควบคุมการใช้จ่ายของสโมสร โดยจำกัดการขาดทุนที่สโมสรสามารถทำได้ในช่วงสามปี
เป้าหมาย เพื่อให้สโมสรมีฐานะการเงินที่มั่นคงและใช้จ่ายตามกำลังทรัพย์
มีบทลงโทษ: สโมสรที่ทำผิดกฎอาจถูกลงโทษ เช่น การถูกหักคะแนน
แต่มีข้อยกเว้นจากการขาดทุนบางประเภท เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน, ทีมเยาวชน และทีมหญิง จะถูกหักออกจากยอดขาดทุน
จากนี้ค่าใช้จ่ายของทีมโดยรวมตั้งแต่ฤดูกาลหน้าจะถูกจำกัดไว้ที่ 85% ของรายได้ของสโมสร
แม้ว่าทีมที่แข่งขันในยุโรปจะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์สูงสุดของยูฟ่าที่ 70% ก็ตาม
เท่ากับว่า พรีเมียร์ลีก สามารถใช้จ่ายได้เยอะกว่า
ค่าใช้จ่ายของทีม ประกอบด้วย ค่าจ้างผู้เล่นและผู้จัดการทีม, ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย และค่าธรรมเนียมตัวแทนต่าง ๆ(เอเยนต์)
กฎเกี่ยวกับความยั่งยืน ซึ่งกำหนดแผนการใช้จ่ายทางการเงินของสโมสรในระยะกลางและระยะยาว ได้รับการเห็นชอบเป็นเอกฉันท์
แต่การกำหนดวงเงินสูงสุดในการใช้จ่ายโดยพิจารณาจากเงินที่สโมสรอันดับท้ายๆ ได้รับนั้น ไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรจะเป็น มีผู้ลงคะแนนคัดค้าน 12 เสียง, เห็นด้วยเพียง 7 เสียง และงดออกเสียง 1 สโมสร
"กฎ SCR ฉบับใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมโอกาสให้ทุกสโมสรมุ่งหวังที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น และทำให้ระบบการเงินของลีกใกล้เคียงกับกฎ SCR เดิมของยูฟ่า" แถลงการณ์ของพรีเมียร์ลีกระบุ
คุณสมบัติสำคัญอื่น ๆ ของระบบใหม่ของลีก หลักใหญ่ 5 ข้อ
1.การติดตามและลงโทษในระหว่างฤดูกาลที่โปร่งใส
2.การป้องกันผลงานด้านกีฬาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
3.ความสามารถในการใช้จ่ายก่อนรายได้
4.ความสามารถในการลงทุนนอกสนามที่แข็งแกร่ง
และ 5.การลดความซับซ้อนโดยมุ่งเน้นไปที่ต้นทุนฟุตบอล
ประเด็นที่น่าสนใจที่ถูกตั้งคำถามก็คือ อัตราส่วนต้นทุนทีมคืออะไร และจะส่งผลกระทบต่อสโมสรอย่างไร
PSR หมายถึง งบดุลของสโมสรที่แสดงรายได้ทั้งหมดในช่วง 3 ปี
SCR หมายถึง ต้นทุนของทีมตามฤดูกาล หรือ ต้นทุนของทีมต่อ 1 ฤดูกาล
หลายสโมสรที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งพอใจกับกฎ PSR และต้องการรักษาสถานะเดิมไว้ นั่นคือ 3 ปี ขาดทุนได้ 105 ล้านปอนด์
บอร์นมัธ, เบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน, คริสตัล พาเลซ, ฟูแล่ม และลีดส์ ลงมติคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนี้
กฎใหม่นี้จะเป็นระบบคู่ขนาน โดยสโมสรที่แข่งขันในยุโรปจะต้องปฏิบัติตามขีดจำกัด SCR ของยูฟ่า อยู่ที่ 70%
ซึ่งหมายความว่า สโมสรอาจถูกยูฟ่าลงโทษหากเกิน 70% แต่ยังคงปฏิบัติตามกฎในพรีเมียร์ลีกที่ 85%
ขีดจำกัดที่สูงขึ้นนี้มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องสมดุลการแข่งขันของพรีเมียร์ลีก เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นที่สโมสรต่างๆ ที่แข่งขันในยุโรปจะได้รับ
เชลซี และ แอสตันวิลล่า ต่างก็ถูกยูฟ่าปรับเงินอย่างหนักจากการละเมิดกฎในฤดูกาล 2024-25 ซึ่งตอนนั้นขีดจำกัดในยุโรปอยู่ที่ 80%
พรีเมียร์ลีก ยังได้เพิ่มช่องว่างในการใช้จ่ายด้วยการเพิ่มวงเงิน 30% ต่อปี ซึ่งอนุญาตให้สโมสรใช้จ่ายเกินขีดจำกัด ซึ่งช่วยให้สโมสรสามารถลงทุนล่วงหน้าก่อนที่จะมีรายได้และส่วนต่าง หรือผลงานกีฬาต่ำกว่ามาตรฐาน
จะมีการประเมินทุกเดือนมีนาคมของทุกปี และวงเงินนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพิจารณาบทลงโทษทางกีฬาที่อาจเกิดขึ้นในฤดูกาลเดียวกัน
เกณฑ์ 85% นี้รู้จักกันในชื่อเกณฑ์สีเขียว หากใช้จ่ายเกินกว่านั้น จะถูกปรับเงิน แม้ว่าจะลงโทษน้อยกว่าที่ ยูฟ่า กำหนดไว้มากก็ตาม
เกณฑ์เงินสำรอง (Red Threshold) คือ 85% บวกกับเงินที่สโมสรกำหนดไว้ หากเกินกว่านั้น
จะถูกหักเงิน 6 คะแนน เป็นการคงที่
ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 1 คะแนนทุกๆ 6.5 ล้านปอนด์ที่ใช้จ่ายเกินเกณฑ์เงินสำรอง
ลองคิดแบบนี้ ทุกสโมสรจะเริ่มต้นฤดูกาลหน้าด้วย 85% บวกกับเงินที่สโมสรกำหนดไว้ 30% เท่ากับ 115%
สโมสรใดก็ตามที่ใช้จ่ายเกิน 85% จะถูกปรับเงิน
แต่จะต้องเกิน 115% จะถูกหักคะแนน
แต่เปอร์เซ็นต์ดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปสำหรับฤดูกาล 2027-28
หากสโมสรใช้จ่าย 105% ให้กับทีมในฤดูกาลหน้า นั่นหมายความว่าพวกเขาได้ใช้เงินไปแล้ว 20% และสำหรับฤดูกาล 2027-28 ค่าใช้จ่ายสูงสุดก่อนถูกลงโทษทางกีฬาคือ 95%
หากสโมสรใช้จ่ายน้อยกว่า 85% ก็สามารถเพิ่มเงินช่วยเหลือได้อีกครั้งสูงสุด 30%
…….ถึงตรงนี้ ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนเพียง 7เสียง จึงไม่ใกล้เคียงกับความเป็นไปได้ที่จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
แต่สโมสรชั้นนำต่างมีความเห็นแตกต่างกัน
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กังวลว่าในที่สุดพวกเขาอาจเกินขีดจำกัดการเซ็นสัญญาผู้เล่นเมื่อรายได้เติบโตขึ้น แต่อาร์เซนอล และ ลิเวอร์พูล กลับโหวตเห็นชอบ
มีในเรื่องของ TBA หรือ Top-to-Bottom Anchoring คือกฎที่กำหนดจำนวนเม็ดเงินที่แต่ละทีม จะสามารถใช้ได้ในแต่ละปี โดยจำนวนเงินเหล่านั้นจะต้องไม่เกิน 5 เท่า จากรายรับของทีมที่ได้เงินน้อยที่สุดของ พรีเมียร์ ลีก ในแต่ละฤดูกาลจากการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์
ในฤดูกาลนี้ คาดว่าทีมที่จบอันดับที่ 20 จะมีรายได้ประมาณ 120 ล้านปอนด์ ซึ่งจะทำให้เกิดขีดจำกัดการเซ็นสัญญากับผู้เล่นสูงสุดที่ 600 ล้านปอนด์
แต่เมื่อกฎ SCR มีผลบังคับใช้ จะไม่มีสโมสรใดที่จะใช้จ่ายถึง 600 ล้านปอนด์
กฎนี้มีจุดประสงค์เพื่อหยุดยั้งการใช้จ่ายของสโมสรชั้นนำที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รายได้ของพวกเขาเติบโตขึ้น
แต่บางสโมสร กังวลว่า ขีดจำกัดนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันกับทีมอย่าง เรอัล มาดริด ในสเปน
ขณะเดียวกัน สมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ หรือ PFA เคยเตือนไว้ก่อนหน้านี้ว่า สโมสรต่างๆ จะจ่ายเงินเดือนนักเตะน้อยลง ซึ่งเท่ากับเป็นการจำกัดเพดานเงินเดือน
อาจนำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมาย
นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่า การลดข้อตกลงการถ่ายทอดสดในอนาคต จะส่งผลให้เพดานเงินเดือนลดลงก็เป็นไปได้อย่างยิ่ง
ที่ผ่านมานั้น สโมสรในพรีเมียร์ลีก ได้มีการจัดทำประมาณการทางการเงินในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวอยู่แล้ว
นั่นจะเป็นข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลฟุตบอลอิสระ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในช่วงปลายฤดูกาลนี้
สโมสรต่างๆ จะต้องจัดทำประมาณการทางการเงินและความสามารถในการจัดหาเงินทุนสำหรับการดำเนินงานของสโมสร
จุดเน้นอยู่ที่การตรวจสอบและการกำหนดมาตรการเพื่อให้สโมสรปฏิบัติตามหากเกิดการละเมิดใดๆ
ดังนั้น นั่นจึงเหมือนกับการจำกัดการใช้จ่ายหรือการปรับสมดุลหนี้รอไว้อยู่แล้วนั่นเอง
#บีแหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี