สารจากเอกอัครราชทูต
เนื่องในวันนี้ชาวอินโดนีเซียเฉลิมฉลองครบรอบ 74 ปี วันประกาศอิสรภาพของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และในโอกาสนี้ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งและขอส่งมอบความปรารถนาดีต่อชาวอินโดนีเซียทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เช่นเดียวกันนี้ข้าพเจ้าขอขอบคุณอย่างจริงใจไปยังรัฐบาลและประชาชนแห่งราชอาณาจักรไทยที่ร่วมอำนวยพรและแสดงความยินดีต่อประเทศของเราในโอกาสอันสำคัญนี้
และในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ ข้าพเจ้าในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวอินโดนีเซีย ขอใช้โอกาสนี้เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 ข้าพเจ้าขออำนวยพรให้พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ ตลอดจนรัฐบาลและประชาชนชาวไทยให้ดำรงสุขสวัสดิ์ตลอดกาลนาน
ปี 2019 นี้นับเป็นปีที่พิเศษมากสำหรับทั้งสองประเทศ เนื่องจากประเทศไทยได้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 ในขณะเดียวกันนี้ประเทศอินโดนีเซียก็ได้ดำเนินการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี รวมทั้งการเลือกสมาชิกสภานิติบัญญัติเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา โดยทั้งสองประเทศของเราได้แสดงให้โลกเห็นว่าเราประสบความสำเร็จในกระบวนการดำรงไว้ซึ่งประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์
วันที่ 17 สิงหาคม ปีนี้เป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 74 ปี ของการประกาศอิสระภาพและยังเป็นปีที่เริ่มต้นสมัยที่สองของประธานาธิบดี Joko Widodo หลังที่จากเขาและรองประธานาธิบดี Ma’ruf Amin ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยได้รับความไว้วางใจจากประชาชนชาวอินโดนีเซียให้ขับเคลื่อนประเทศอินโดนีเซียต่อไปอีกในห้าปีข้างหน้า
ดังนั้นในปีนี้จึงเป็นช่วงเวลาพิเศษสำหรับชาวอินโดนีเซียที่จะใคร่ครวญถึงความสำเร็จตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่เพื่อให้ประเทศได้ขับเคลื่อนไปอย่างต่อเนื่องภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ปี ค.ศ. 1945 ของประเทศอินโดนีเซีย
ในขณะเดียวกันเป็นช่วงเวลาของการสะท้อนถึงความมั่นคง ปลอดภัย ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนชาวอินโดนีเซียทุกคนอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่เฉพาะกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้นแต่จะครอบคลุมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ในทุกพื้นที่ของอินโดนีเซีย โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังนั้นคือความมุ่งมั่นสูงสุดของเรา
ช่วงแรกของการบริหารประเทศภายใต้การนำของประธานาธิบดี Joko Widodo นั้นได้ดำเนินการตามวาระการพัฒนาประเทศในหลายด้าน เช่น โครงการประกันสังคม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตามนโยบายการคลังและการลงทุนรวมถึงวาระทางการเมืองที่สามารถสร้างความปรองดองกัน โครงการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในหมู่บ้านและชุมชนชายขอบรวมถึงพื้นที่ห่างไกล หลายโครงการสามารถพัฒนาเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่มีโอกาสทางเศรษฐกิจเพียงน้อยนิดสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศอินโดนีเซีย
ในช่วงที่สองของการบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดี Joko Widodo ที่มีนโยบายมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจะเน้นการพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์โดยได้รับความสนใจมากขึ้นต่อไปในอีกห้าปีข้างหน้า
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอินโดนีเซียกับประเทศไทยซึ่งจะเข้าสู่ครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 70 ปี ในปีหน้านี้ ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้ามั่นใจว่าความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมือระหว่างอินโดนีเซียและประเทศไทยจะยังมั่นคงแน่นแฟ้นต่อไป นอกจากนี้ข้าพเจ้าขอขอบคุณภาครัฐและภาคเอกชนของประเทศไทยที่ได้ให้การสนับสนุนภาคธุรกิจและการลงทุนของบริษัทไทยในอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ในระดับภูมิภาค ประเทศสมาชิกอาเซียนยังคงพิสูจน์ความเป็นหนึ่งในฐานะองค์กรระดับภูมิภาคที่ก้าวหน้ามีความสามารถและมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีโดยประเทศสมาชิกมีความมุ่งมั่นสู่ความก้าวหน้าและพร้อมเผชิญกับความท้าทายทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ในฐานะประธานอาเซียนในปีนี้ประเทศไทยได้ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม ที่จะนำพาอาเซียนสู่ความก้าวหน้า โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ที่ผ่านมา โดยเน้นถึงความสำคัญของความร่วมมือร่วมใจ ก้าวไกลและยั่งยืน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เน้นให้อาเซียนก้าวไปข้างหน้าเพื่อสร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จากสภาพการณ์ของโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นปึกแผ่นและความมั่นคงและความร่วมมือกันของสมาชิกประเทศอาเซียน
ขณะเดียวกันในสถานการณ์โลกปัจจุบันการปฏิบัติตามกรอบภายใต้รัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1945 ของประเทศอินโดนีเซีย โดยอินโดนีเซียอยู่ในฐานะประเทศสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ด้วยคำขวัญของอินโดนีเซียที่ว่า “มิตรภาพที่แท้จริงเพื่อการสร้างสันติภาพของโลก” โดยอินโดนีเซียได้มุ่งประเด็นสำคัญหลายประการเพื่อสนับสนุนสันติภาพของโลก กล่าวคือการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรระดับภูมิภาค ความร่วมมือเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย และลัทธิหัวรุนแรง และความร่วมมือระหว่างสันติภาพโลกกับการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการสร้างสันติภาพและการแก้ปัญหาเฉพาะในปาเลสไตน์ เป็นต้น
อะฮ์มัด รุสดี
เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย
การปราศรัยครั้งแรกของประธานาธิบดี
(ที่มา: https://www.sibernews.co/lima-fokus-visi-indonesia-baru)
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์:
วาระสำคัญของประเทศอินโดนีเซีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Joko Widodo
อินโดนีเซียฉลองวันครบรอบ 74 ปี แห่งการประกาศอิสรภาพในวันที่ 17 สิงหาคม ของทุกปีและในปีนี้ถือได้ว่าเป็นปีที่พิเศษกว่าปีที่ผ่านมาเพราะประเทศอินโดนีเซียเพิ่งจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ตลอดจนสมาชิกสภานิติบัญญัติในเดือนเมษายน พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา
ประเทศอินโดนีเซียถือว่าเป็นรัฐประชาธิปไตยที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกและได้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งที่มีกระบวนการอันสลับซับซ้อนที่สุด แต่อินโดนีเซียก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จในการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้สู่สายตาประชาคมโลกประธานาธิบดี Joko Widodo ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนชาวอินโดนีเซียให้ดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศพร้อมกับรองประธานาธิบดีคนใหม่ Ma’ruf Amin ต่อไปอีก 5 ปีข้างหน้า
เสถียรภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจรวมถึงการพัฒนาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกันของประชาชนชาวอินโดนีเซียเป็นสิ่งสำคัญตามวาระการพัฒนาชาติของประเทศอินโดนีเซียมาโดยตลอด ดังนั้นการควบคุมอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจากการค้าและการลงทุนในประเทศเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น การเพิ่มงบประมาณของกระทรวงการคลังและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้ถูกนำมาปฏิบัติกันอย่างจริงจังในช่วงปีแรกๆ ในยุคของรัฐบาล Joko Widodo และรองประธานาธิบดี Jusuf Kalla นอกจากนี้ทางรัฐบาลได้คำนึงถึงอาณาเขตที่กว้างใหญ่และธรรมชาติของพื้นที่ในประเทศอินโดนีเซีย การพัฒนาชายขอบและพื้นที่ห่างไกล เป็นสิ่งที่ทางรัฐบาลได้มีความตระหนักอย่างมากในบริบทของการพัฒนาที่เท่าเทียมกัน
ในภาคแรกภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล Joko Widodo และ รองประธานาธิบดี Jusuf Kalla รัฐบาลได้มีการปรับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หลายๆ ด้าน เช่น ด้านการคมนาคม ไม่ว่าจะเป็น
ผลจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินโดนีเซีย สามารถเห็นได้จากความถี่และความต่อเนื่อง ของผู้ใช้บริการและการขนส่งสินค้าทั้งทางบกและทางอากาศที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก และในระยะยาวการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยให้สามารถเชื่อมต่อชุมชนและท้องถิ่นเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดการกระตุ้นการแข่งขันระหว่างภูมิภาคทั่วประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานจะส่งให้เกิดความมั่นคงทางด้านอาหาร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายคือ เพิ่มความพร้อมและพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตอาหารภายในประเทศ ทั้งนี้ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีก เช่น อ่างเก็บน้ำ, เขื่อน, ระบบชลประทาน รวมถึงการปรับโครงสร้างพื้นฐานทางโทรคมนาคมอีกด้วย
ในขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้มีการดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ประธานาธิบดี Joko Widodo ยังได้เห็นความสำคัญและพยายามที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในภาคที่สองของการบริหารงานภายใต้รัฐบาลของเขาและความมุ่งมั่นดังกล่าวได้ถูกกล่าวถึงในระหว่างพิธีเปิดงานด้านการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งชาติ ในเมือง Depok เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา “ถึงแม้ว่าการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานได้ถูกนำมาใช้งานแล้วแต่เราก็ไม่หยุดการพัฒนา ซึ่งตอนนี้เรากำลังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์เป็นเป้าหมายต่อไป” และสิ่งเดียวกันนี้ได้ถูกนำมากล่าวย้ำอีกครั้งในการกล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2019 หลังจากที่เขาได้รับการประกาศชัยชนะจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยประธานาธิบดีได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นหนึ่งในโครงการหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญ นอกเหนือไปจากการลงทุนปรับโครงสร้างพื้นฐาน การปฏิรูประบบราชการ และการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ และมุ่งเน้นไปยังการใช้งบประมาณของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
โลกปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงเมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 หรือ (4IR)
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงถือเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่งในการตอบสนองและพัฒนาให้เหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบัน “เพื่อรักษาความยั่งยืนของการพัฒนาประเทศอินโดนีเซีย ในปี 2020 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องหลังจากที่เราได้เริ่มต้นไปแล้วในปี 2019” คำกล่าวของประธานาธิบดีในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2019
ในขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นรากฐานที่แข็งแกร่ง ในช่วงภาคแรกของรัฐบาลภายใต้การนำของ
นอกจากนี้รัฐบาลได้มีการออกแบบบัตร 3 ประเภท เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวอินโดนีเซีย ซึ่งบัตรประเภทแรกเป็นบัตรสำหรับผู้มีรายได้น้อยทำให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงปัจจัยขั้นพื้นฐานได้ ด้วยโครงการนี้รัฐบาลไม่เพียงแต่จะตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการศึกษาของบุตรหลานอีกด้วย
ในขณะเดียวกันรัฐบาลได้ดำเนินโครงการครอบครัวแห่งความหวัง (Kartu Keluarga Harapan) โดยให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหารแทนการให้เงินสด จะเห็นได้ชัดว่าโครงการครอบครัวแห่งความหวังมีผลอย่างมากในการลดความยากจน โดยรัฐบาลได้ประสบความสำเร็จในการลดความยากจนจาก 12.49% เหลือ 9.82% ซึ่งเป็นครั้งแรกและมีเปอร์เซ็นต์ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศอินโดนีเซีย
บัตรประเภทที่สองเป็นบัตรเพื่อพัฒนาและยกระดับการศึกษา (Kartu Indonesia Pintar) เป็นโปรแกรมต่อเนื่องที่ได้ดำเนินการในช่วงก่อนหน้านี้ สำหรับนักเรียนที่ควรได้รับการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี และในโครงการนี้รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมแก่นักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งการสนับสนุนด้านนี้จะทำให้ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศมีการพัฒนา อีกทั้งโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมให้นักศึกษาที่มาจากครอบครัวที่ยากจน สามารถที่จะพัฒนาทักษะและศักยภาพของตนเองอีกทั้งมีโอกาสศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2019 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Sri Mulyani ได้กล่าวว่า รัฐบาลจะอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษา เพื่อสนับสนุนแผนการปรับปรุงคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 20% ของรัฐเพื่อพัฒนาด้านการศึกษา โดยงบประมาณด้านการศึกษาสำหรับปีที่ผ่านมาใช้ไป 457.9 ล้านล้าน (รูเปียห์)หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท และในปี ค.ศ. 2019 นี้ได้มีการเพิ่มงบประมาณเป็น 492.5 ล้านล้าน (รูเปียห์) หรือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาทโดยเพิ่มขึ้นคิดเป็น 13.2%
ขณะเดียวกันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของอินโดนีเซียยอมรับว่ามีความเหลื่อมล้ำกันในด้านทักษะและความสามารถของแรงงานซึ่งสัมพันธ์กันกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การขาดโอกาสทางการศึกษาของทรัพยากรมนุษย์ส่วนใหญ่ในอินโดนีเซีย ส่งผลให้ขาดโอกาสในการแข่งขันทักษะขั้นสูง โดยเฉพาะการแข่งขันกับแรงงานต่างชาติ ดังนั้น นอกเหนือจากโครงการให้ทุนทางการศึกษาแล้วรัฐบาลจะเพิ่มโรงเรียนประเภทอาชีวศึกษา ศูนย์ฝึกอาชีพและโรงเรียนประจำ ในขณะเดียวกันรัฐบาลจะเพิ่มการพัฒนาทักษะของครูและส่งเสริมโครงการที่มีคุณภาพเพื่อฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของนักเรียนให้เป็นไปตามมาตรฐาน
ประธานาธิบดี Joko Widodo ยังได้กล่าวถึงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลระดับสูง โดยโครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อผลิตบัณฑิตที่มีผลงานจากประสบการณ์และการเรียนรู้จากบริษัทชั้นนำทั้ง 4 บริษัทที่มีสัญชาติอินโดนีเซีย กล่าวคือ Traveloka, Go-jek, Tokopedia, Bukalapak ซึ่งทั้ง 4 บริษัทนี้สามารถเจาะตลาดระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับโลก โดยสามารถส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดเล็กนับล้านธุรกิจได้มีโอกาสก้าวหน้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลได้ตระหนักถึงบทบาทสำคัญด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีขีดความสามารถสูงในการสร้างเศรษฐกิจอินโดนีเซีย สามารถต่อรองและแข่งขันในระดับโลกได้ ด้วยเหตุนี้ทางรัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาขีดความสามารถทรัพยากรมนุษย์ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการมอบทุนการศึกษาสำหรับคนที่มีความรัฐบาลอินโดนีเซียเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอินโดนีเซียจะมีความพร้อมและสามารถพัฒนาให้เข้ากับยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเป็นยุคที่มีการแข่งขันและมีความท้าทายอย่างยิ่งสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับการรวมกลุ่มของประเทศสมาชิกอาเซียน ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ที่ผ่านมาโดยประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน ได้เน้นถึงความสำคัญของความร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกลและยั่งยืน เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่เน้นให้อาเซียนร่วมมือกันและก้าวไปข้างหน้า เพื่อสร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในสภาพการณ์โลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี