หวังอานิสงส์ศก.ประเทศคู่ค้าเติบโต-ดอกเบี้ยไม่เกิน2%
ภาครัฐเร่งใช้จ่าย คลังตั้งเป้าปี’58จีดีพีโต 4%
กระทรวงการคลังปรับลดตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี’57 เหลือแค่ 1.4% หลังการส่งออก เข็นไม่ขึ้น เหลือแค่ลุ้นช่วง 2 เดือนสุดท้ายช่วยพยุงไม่ให้ตัวเลขทั้งปีติดลบ พร้อมตั้งเป้า จีดีพี ปี’58 ไว้ที่ 4% บนเงื่อนไขของ 6 สมมุติฐานหลัก ด้านรมว.พาณิชย์ เผยไทยยังต้องพึ่งส่งออกไปอีก 3-5 ปี แต่ระยะยาวต้องเน้นเรื่องการบริโภคในประเทศ กระตุ้นให้คนไทยใช้ของไทยมากขึ้น
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2557 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ 1.4% หรืออยู่ในช่วงคาดการณ์ 1.2 - 1.7% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกไม่สามารถฟื้นตัวได้ดีตามที่คาด ซึ่งมีโอกาสขยายตัวได้เพิ่มขึ้น หากในช่วงที่เหลือของปีนี้ สามารถเบิกจ่ายงบประมาณโครงการต่างๆ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 2.9%
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลการค้าจะเกินดุลเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วมาอยู่ที่ 19.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ 18.0 – 20.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ) จากการหดตัวของมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่ -5.7 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ -6.0 ถึง -5.5%) ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวเล็กน้อยเพียง 0.1% (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ -0.2 ถึง 0.4%) ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณ 9.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 2.2% ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 2.1 – 2.3% ของ GDP)“เป็นการปรับลดการขยายตัวจากล่าสุดที่คาดว่าจะโตได้ 1.5% มีช่วงคาดการณ์ 1.5-2.5% ตามภาวการณ์ส่งออกที่ขยายตัวลดลง โดยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 0.1% จากประมาณการครั้งก่อนที่ 1.5% ซึ่งการขยายตัวในระดับดังกล่าว ถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติน้ำท่วมปี 2554 ที่เศรษฐกิจขยายตัวได้
0.1% แต่เชื่อว่ามาตรการกระตุ้นช่วงปลายปีจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้าย”นายกฤษฎา กล่าว
ขณะที่เศรษฐกิจไทยในปี 2558 คาดว่าจะขยายตัวได้ 4.1% ต่อปี ในช่วงคาดการณ์ที่ 3.6 – 4.6% จากแรงส่งของการใช้จ่ายภาครัฐ ในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านการคมนาคมและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ อุปสงค์จากต่างประเทศ การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ที่คาดว่าปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและนโยบายภาครัฐที่มีความชัดเจน
ทั้งนี้ การประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2558 สศค.ได้พิจารณา 6 สมมุติฐานหลักประกอบด้วย 1.อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 15 ประเทศคู่ค้าหลัก ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตรา 3.84 %จากปีนี้ 3.70% โดยคู่ค้าหลัก เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และยุโรป ยังคงชะลอตัว โดย สศค.ประมาณการส่งออกปีหน้าขยายตัว 3.5% ในช่วง 1.5-5.5% 2.ค่าเงินบาทที่ยังคงมีความผันผวน แต่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามการเคลื่อนย้ายเงินทุน โดยคาดว่าจะปรับมาอยู่ที่ 32.65 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนลงจากปีนี้ที่เฉลี่ย 32.40 บาทต่อเหรียญสหรัฐ 3.ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะยังคงไม่มีแรงกดดัน โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดจากปีนี้ที่ 101 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
4.ดัชนีราคาสินค้าส่งออก นำเข้า ที่คาดว่ายังปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2558 คาดว่าจะขยายตัว -0.5% 5.อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่คาดว่าจะอยู่ที่อัตรา 2% ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2558 เนื่องจากยังไม่มีแรงกดดันจากเงินเฟ้อ และ 6.การใช้จ่ายภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 6.8% ส่วนท้องถิ่น 9.1% และรัฐวิสาหกิจ 21.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุน ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ การเร่งรัดจัดซื้อจัดจ้างในไตรมาส 1-2/2558 การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และงบโครงการไทยเข้มแข็ง ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยในปี 2558 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะอยู่ที่ 2.2% และการว่างงาน ที่ 0.8%
น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. กล่าวว่า การปรับลดประมาณการดังกล่าว รวมในส่วนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในโครงการแจกเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท และเงินช่วยเหลือราคายางพาราแล้วรวมกว่า 48,200 ล้านบาท ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1.4% จากประมาณการล่าสุดที่ 0.3% แต่เนื่องจากการส่งออกขยายตัวได้ต่ำ ทำให้ในภาพรวมเศรษฐกิจขยายตัวได้ลดลง
ด้านพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจของไทยในช่วง 3-5 ปีนี้ อาจยังต้องอาศัยเรื่องของการส่งออก และการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าไทยต้องรักษาระดับรายได้ในระยะสั้นนี้เอาไว้ แต่ในระยะยาวที่ยั่งยืนนั้น กระทรวงพาณิชย์มองว่าต้องมีการวางรากฐานที่ดี ทั้งการผลิตสินค้าภายใน ค่านิยมของคนไทย การบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าไทย ที่ต้องพัฒนาให้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีภาพลักษณ์ที่ดี มีการสร้างแบรนด์ และที่สำคัญต้องสนับสนุนให้เกิดค่านิยมการภูมิใจในการใช้สินค้าไทย ทำให้คนไทยภูมิใจที่จะใช้สินค้าของไทยเอง ให้ความสำคัญกับสินค้าภายในประเทศ เพราะในปัจจุบันแม้สินค้าหลายชนิดจะผลิตในประเทศไทย แต่หากไม่ส่งออก หรือใส่แบรนด์ต่างประเทศแล้วส่งกลับมาขาย ก็จะไม่เป็นที่นิยมของคนไทย และอีกแนวทางที่ควรต้องให้ความสำคัญคือการเน้นการวิจัยและพัฒนา(The Research and Development) ในทุกส่วน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์มีความตั้งใจที่จะผลักดันการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีให้ได้สูงที่สุด ซึ่งหากดูจากการส่งออกช่วงที่ผ่านมาก็ดีขึ้น ล่าสุดเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ส่งออกได้มูลค่า 630,756.6 ล้านบาท ขยายตัวได้ถึง 4.19% ในรูปเงินบาท หรือมีมูลค่า 19,912.8 ล้านเหรียญ ขยายตัว 3.19% การนำเข้าที่มากขึ้นก็สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้ผลิต และเชื่อว่าทิศทางส่งออกช่วงที่เหลือมีแนวโน้มดีขึ้นได้ และหากไทยสามารถรักษาระดับมูลค่าส่งออกของไทยไว้ที่ 630,000-650,000 ล้านบาท หรือสูงกว่า 20,000 ล้านเหรียญต่อเดือนได้ การส่งออกไทยไม่ติดลบอย่างแน่นอน แต่จะเป็นบวกมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงที่เหลือด้วย ในขณะที่ปี 2558 กระทรวงพาณิชย์วางเป้าท้าทายการส่งออกไว้ว่าจะขยายตัวที่ 4% เนื่องจากโลกเกิดความเชื่อมั่นในประเทศไทยเพิ่มขึ้น นักธุรกิจ เอกชนไทย และรัฐบาลมีการทำงานร่วมกันมากขึ้น และเน้นการขยายตลาดใหม่มากขึ้น
“การส่งออกของไทยเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น ส่งออกได้มากขึ้น แต่ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้นยังคงต้องดูปัจจัยเสี่ยงหลายด้านประกอบด้วย”
นอกจากนี้ในส่วนยุทธศาสตร์ข้าวไทยนั้น ประเทศไทยปลูกข้าวเพื่อบริโภคในประเทศและส่งออก จึงต้องมีการบริหารจัดการราคาข้าวให้เหมาะสม ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวที่มีคุณภาพ มีเมล็ดพันธุ์ที่ดีในการเพาะปลูก มีการลดต้นทุนการผลิต มีการบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกข้าวให้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี