19 พ.ย.57 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย (Thai Industries Sentiment Index: TISI) ในเดือนตุลาคม 2557 พบว่า อยู่ที่ระดับ 87.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 86.1 ในเดือนกันยายน โดยค่าดัชนีฯที่เพิ่มขึ้นเกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ โดยความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากที่ปรับตัวลดลง 2 เดือนติดต่อกัน ปัจจัยบวกจากคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจช่วงปลายปี ในกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่น อุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็คทรอนิกส์และโทรคมนาคม รวมทั้งการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านที่ขยายตัวดีขึ้น ขณะเดียวกันราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ จะอยู่ที่ระดับ 105.7 เพิ่มขึ้นจาก 104.7 ในเดือนกันยายน โดยค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น เกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการและผลประกอบการ
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจำแนกตามการส่งออก (ดัชนีความเชื่อมั่นฯ จำแนกตามร้อยละของการส่งออกต่อยอดขาย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศกับกลุ่มที่เน้นตลาดต่างประเทศ) โดยจากการสำรวจพบว่า ในเดือนตุลาคม ค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ กลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศและกลุ่มที่เน้นตลาดต่างประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้ง 2 กลุ่ม จากในเดือนกันยายน ซึ่งองค์ประกอบดัชนีฯที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดรับคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ
นายสุพันธ์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบการอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2557 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน และสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อยู่ในระดับทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐในเดือนตุลาคมนี้ คือ ให้ภาครัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการให้มีการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทยและสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก รวมถึง เจรจาเขตการค้าเสรี กับประเทศที่มีศักยภาพเพื่อกระตุ้นการส่งออกและการลงทุนของไทย และส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย
"แต่ยอมรับว่าผู้ประกอบการมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศในแง่ของการเร่งรัดงบลงทุนและเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐดิจอาจยังไม่เห็นผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ทำให้ปี 2557 ทั้งปีคาดเศรษฐกิจไทยจะโตได้ไม่เกิน 1.5% เพียงแต่รัฐบาลต้องมีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะที่ปี 2558 คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะโตได้ 4-4.5% จากการส่งออกที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น"นายสุพันธ์กล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่ารัฐบาลยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่งผลในระยะยาวโดยเฉพาะปีหน้าที่คาดจะมีการลงทุนภาครัฐเติบโตได้ถึงตัวเลขสองหลัก สามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อการขยายการลงทุนของภาคเอกชนตามมา รวมทั้งมีแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้จนถึงปีหน้า อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนเห็นว่ารัฐบาลควรจะเร่งหามาตรการช่วยเหลือราคาสินค้าเกษตรในระยะกลางและยาวให้ชัดเจนออกมา โดยเฉพาะราคาข้าวและยางพารา เพราะจะมีผลต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมทั้งยังมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี