ผู้บริหารใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ-ทำหนี้เน่าพุ่ง-จัดซื้อจัดจ้างไม่โปร่งใส
เร่งสาง14ปมทุจริตไอแบงก์
ประธานบอร์ดไอแบงก์เดินหน้าตรวจสอบ 14 ปมทุจริต ชี้มีปัญหา 8 เรื่อง เป็นการใช้อำนาจของคณะกรรมการ อีก 6 เรื่อง เป็นประเด็นเกี่ยวกับรักษาการผู้จัดการธนาคาร เผยแบงก์เสียหายจากหลายกรณี ทั้งการจัดซื้อจัดจ้างไม่โปร่งใส การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ จนทำให้สินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มสูงจนผิดปกติ ล่าสุดเชือดผู้ระดับผอ.ฝ่ายไปแล้ว 1 ราย
แหล่งข่าวจากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย(ไอแบงก์) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานคณะกรรมการไอแบงก์ ได้เรียกผู้บริหารประชุม เพื่อหารือเกี่ยวกับการสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทำให้ธนาคารเสียหาย มีทั้งสิ้น 14 เรื่อง อยู่ระหว่างพิจารณาบทลงโทษจำนวน 5 ราย แบ่งเป็นผู้บริหารระดับรองกรรมการผู้จัดการ 1 ราย และระดับผู้อำนวยการฝ่าย 4 ราย ในข้อหาทุจริตเกี่ยวกับสินเชื่อของธนาคาร ซึ่งก่อนหน้านี้ มีการสรุปไปแล้ว 3 เรื่อง ผลปรากฏว่าได้ให้ผู้บริหารระดับผู้อำนวยการฝ่ายออก 1 ราย ในข้อหาปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาระหนี้ของตน ส่วนอีก 2 เรื่อง พิจารณาแล้วพบว่าไม่มีมูล จึงไม่มีความผิด
สำหรับการตรวจสอบความเสียหายของธนาคารทั้ง 14 เรื่อง แบ่งเป็นสาเหตุจากการใช้อำนาจของคณะกรรมการ 8 เรื่อง คือ 1.ผู้บริหารปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาระหนี้ของตน 2.ผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้บริหารกับบริษัทภายนอก 3.การลาออกของผู้บริหารเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ 4.การให้ข่าวสารโดยไม่มีอำนาจ 5.รายได้ค่านายหน้าประกัน 6.เอกสารนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการอยู่ในการครอบครอง 7.โครงการผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต (I-Card) และ 8.โครงการบริษัท อะมานะฮ์ ฮัจย์และอุมเราะห์ จำกัด
ส่วนอีก 6 เรื่อง เป็นอำนาจของรักษาการผู้จัดการ ได้แก่ 1.ส่งมอบบัตรเอทีเอ็มและรหัสให้บุคคลที่ไม่ใช่ลูกค้า 2.ออกแคชเชียร์เช็ค 40 ล้านบาท เพื่อปลดจำนองซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบธนาคาร 3.ออกหนังสือค้ำประกันโดยไม่มีอำนาจวงเงิน 60 ล้านบาท 4.ความล่าช้าในกระบวนการเข้าใช้พื้นที่บนอาคารแห่งหนึ่ง 5.หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีเอล ของโครงการสินเชื่อเอ็มเอสเอ็มอีเพิ่มสูงถึง 80% และ 6.สินเชื่อที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารจำนวน 20 ราย
แหล่งข่าวกล่าวว่า 1 ในเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องใหญ่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เป็น โครงการบัตรเครดิต ที่ธนาคารทำการจัดซื้อทั้งระบบ มีการจ้างบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี เป็นที่ปรึกษาในการวางระบบ มูลค่า 100 ล้านบาท และจ้างพีอาร์มาประชาสัมพันธ์ รวมทั้งจัดซื้อจัดจ้างระบบไอทีและคอมพิวเตอร์ มูลค่า 100 ล้านบาท โดยได้มีการเสนอตัวเลขให้คณะกรรมการอนุมัติเมื่อปี 2553 และธนาคารได้ดำเนินการก่อนขออนุญาตจากกระทรวงการคลังตามกฎกระทรวงที่หากไอแบงก์จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ต้องขออนุญาตเท่านั้น ซึ่งคลังเองก็ยังไม่อนุญาตจนถึงปัจจุบัน เพราะกังวลสถานะของธนาคาร
นอกจากนี้จะดำเนินคดีกับลูกหนี้ที่ทำให้ธนาคารเกิดความเสียหายเป็นจำนวน 20 ราย ซึ่งเป็นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เข้าตรวจพบเกี่ยวกับการทุจริตด้านการปล่อยสินเชื่อ โดยผู้ที่เกี่ยวข้องมีทั้งระดับผู้บริหาร ผู้อำนวยการ รวมถึงอดีตผู้บริหารของธนาคาร หากการสอบสวนพบว่ามีความผิดจริงทางธนาคารก็จำเป็นต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ก่อนหน้านี้ นายมนต์ชัย รัตนเสถียร รักษาการผู้จัดการไอแบงก์ ได้เปิดเผยว่า ธนาคารได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านกฎหมายเข้ามาดำเนินการกับผู้ที่กระทำความผิด หรือทุจริตที่ทำให้ธนาคารเกิดความเสียหาย โดยกล่าวยอมรับว่าจากที่เข้าตรวจสอบ มีลูกหนี้ที่มีความเกี่ยวโยงกับหลายฝ่ายเป็นจำนวนมาก เป็นปัญหาที่แก้ยาก เข้าไปตรวจสอบค่อนข้างยาก แต่ยืนยันจะต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลการดำเนินงาน 5 เดือนแรก ปี 2558 ของไอแบงก์ พบว่าธนาคารมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ที่ 51,900 ล้านบาท คิดเป็น 49.41% ของสินเชื่อคงค้าง 105,000 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเม.ย.ที่อยู่ 57,000 ล้านบาท หรือลดประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการปรับโครงสร้างหนี้และเป็นไปตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่กำหนดไว้การปรับสถานะจากหนี้เสียเป็นหนี้ชั้นปกติใช้ระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งหลังจากนี้จะเห็นเอ็นพีแอลทยอยลดมากขึ้น โดยธนาคารตั้งเป้าหมายหนี้เอ็นพีแอล ณ สิ้นปีให้เหลือ 27,600 ล้านบาท หรือเท่ากับ 24.29%
อย่างไรก็ตาม หนี้เอ็นพีแอลที่ยังคงสูงอยู่ ทำให้รายได้ลดลง จนมีผลขาดทุนสูงถึง 5,720 ล้านบาท ส่งผลให้เงินทุนธนาคารติดลบ 14,500 ล้านบาท และเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) ติดลบมากถึง 21.69% ขณะที่สินทรัพย์มี 98,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าด้านเงินฝากที่มี 106,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ธนาคารเตรียมว่าจ้าง บริษัท ดีล้อยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ ที่ปรึกษา จำกัด เข้ามาดำเนินการแยกหนี้ดีและหนี้เสีย (กู๊ดแบงก์-แบดแบงก์) ซึ่งเป็นรายเดิมหลังเข้ามาตรวจสอบฐานะทางการเงิน (ดิวดิลิเจ้นท์) ให้กับธนาคาร ทำให้ทราบดีเกี่ยวกับฐานะของธนาคาร และการแยกหนี้ดีและหนี้เสียจะได้มีความรวดเร็วกว่าที่จะจ้างบริษัทรายใหม่ที่อาจจะมีความล่าช้าได้ คาดว่าจะเห็นการแยกหนี้อย่างชัดเจนในครึ่งปีหลัง หรืออีก 6 เดือนข้างหน้า
แหล่งข่าวระดับสูง จากธนาคารอิสลาม กล่าวว่าขณะที่ยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ของไอแบงก์ในปัจจุบันสูงมาก ทำให้ต้องตั้งสำรองสูงถึง 3.2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม หลังจากไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เอ็นพีแอล น่าจะไม่เพิ่มขึ้นอีกมากนัก และลูกหนี้หลายรายจะพ้นสภาพการเป็นหนี้เสีย หลังจากการเรียกลูกหนี้เข้าเจรจาเพื่อปรับโครงสร้างทั้งหมด คาดว่าหากใช้ระยะเวลาการปรับสถานะลูกหนี้เป็นหนี้ดีตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะทำให้หนี้ลดลงไป 1.08 หมื่นล้านบาท และยังมั่นใจ สิ้นปี 2558 นี้ หนี้เอ็นพีแอลจะลดลง 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้เงินสำรองกลับมาประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี