ปัจจุบันรถยนต์ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากของคนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เพราะต้องใช้เพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องส่วนตัว การทำธุรกิจ การทำงาน หรือการท่องเที่ยว
ซึ่งการใช้รถยนต์เพื่อการเดินทางไปทำงาน ดูจะเป็นจุดประสงค์หลักสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ แต่การจะเลือกรถยนต์สักคันเพื่อแลกความสะดวกสบาย ก็ต้องคำนวณค่าใช้จ่ายที่จะตามมาด้วย
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณมีเงินเดือนประมาณ 20,000 บาท กับการซื้อรถยนต์ 1 คัน อาจจะทำให้คุณไม่มีเงินเก็บเหลือเลย เพราะรายจ่ายแฝงที่ตามมานั้น มันมากจริงๆ จึงต้องคิดคำนวณให้รอบคอบ
มีรถยนต์ 1 คันนั้นมันไม่ธรรมดาอย่างที่คิด เพราะเชื่อเหลือเกินว่าค่าน้ำมันนั้นมันจะบานไป จากที่คุณคิดไว้หลายเท่าตัว ไหนจะซ่อมบำรุง ประกันภัยต่อปี ต่อ พ.ร.บ.และภาษีสรรพสามิตรถยนต์
ยิ่งในปี 2559 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการยานยนต์ของประเทศไทย นั่นคือ การเริ่มใช้อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ซึ่งจะคิดตามอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แทนการคิดตามความจุกระบอกสูบแบบเดิม (ซีซี) โดยมีหลักการว่า รถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อย จะเสียภาษีต่ำกว่ารถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากนั่นเอง
รายละเอียดอัตราภาษีรถยนต์แต่ละประเภท เริ่มบังคับใช้ 1 มกราคม 2559 ดังนี้
ทั้งนี้ โครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ จะสนับสนุนรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือ อีโคคาร์ เฟส 2 อย่างชัดเจน เพราะเป็นรถที่ประหยัดน้ำมัน ประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นรถที่เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนไทย โดยรถยนต์โครงการ อีโคคาร์ เฟส 2 ที่ปล่อยไอเสียต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษีเพียง 14% เท่านั้น แต่ถ้าเกิน จะเสีย 17% เท่ากับ อีโคคาร์ เฟส 1
ส่วน เก๋ง หรือ เอสยูวี ไม่เกิน 2,000 ซีซี ภาษีขึ้น 3 -10% รถยนต์นั่งในพิกัดนี้ถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาด มีตั้งแต่รถยนต์ระดับซับคอมแพคท์ จนถึงรถยนต์ระดับพรีเมียมหลายรุ่น ที่หันมาใช้เครื่องยนต์ความจุน้อยลง รวมทั้งเอสยูวีบางรุ่นด้วย โดยในอัตราภาษีเดิม รถยนต์ซับคอมแพคท์ ที่รองรับน้ำมัน E20 เช่น โตโยต้า วีออส , เชฟโรเลต โซนิค , ฟอร์ด เฟียสต้า จะเสีย 25% แต่อัตราใหม่ รถเหล่านี้ถ้าปล่อย CO2 ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จะต้องเสียภาษีเพิ่มเป็น 30% ส่วนรถบางรุ่นที่รองรับน้ำมัน E85 เช่น ฮอนด้า แจ๊ส จะเสีย 25% เท่าเดิม
รถยนต์คอมแพคท์ ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1,780 - 2,000 ซีซี และรองรับน้ำมัน E85 เช่น โตโยต้า อัลติส (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี) , ฮอนด้า ซีวิค , เชฟโรเลต ครูซ (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี) , มาสด้า 3 อัตราเดิมเสีย 22% ส่วนอัตราใหม่ รุ่นที่ปล่อย CO2 ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียเพิ่มเป็น 25% ส่วนรุ่นที่ปล่อยในพิกัด 151 - 200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียเพิ่มเป็น 30% ส่วนรถที่รองรับน้ำมัน E20 จากเดิมเสีย 25% ก็จะต้องเพิ่มเป็น 30% หรือ 35% ตามปริมาณการปล่อยไอเสีย
รถยนต์นั่งขนาดกลางและเอสยูวีหลายรุ่น ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เช่น โตโยต้า แคมรี่ , ฮอนด้า แอคคอร์ด , ฮอนด้า ซีอาร์วี , นิสสัน เทียน่า , มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 มีทั้งรุ่นที่รองรับน้ำมัน E20 และ E85 ซึ่งถูกคิดภาษีอยู่ที่ 25% และ 22% ตามลำดับ รถระดับนี้ ส่วนใหญ่ยังคงปล่อยไอเสียในพิกัด 151 - 200 กรัมต่อกิโลเมตรอยู่ ดังนั้น จะเสียภาษี 35% หรือ 30% ขึ้นกับน้ำมันที่รองรับ
นอกจากนี้ รถยนต์ระดับพรีเมียม ตั้งแต่ขนาดซับคอมแพคท์ จนถึงขนาดกลางหลายรุ่น ก็จะถูกคิดภาษีเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณการปล่อยไอเสีย
เก๋ง หรือ เอสยูวี 2,001 - 2,500 ซีซี ในพิกัดนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์นั่ง และเอสยูวีขนาดกลาง รวมถึงรถยนต์ระดับพรีเมียมบางรุ่น ซึ่งเดิมเสียภาษี 30% และ 27% ขึ้นอยู่กับว่ารองรับน้ำมัน E20 หรือ E85 ซึ่งเท่าที่สำรวจรถในตลาด พบว่า รถที่ใช้เครื่องยนต์ระดับนี้ จะปล่อยไอเสีย 151 - 200 กรัมต่อกิโลเมตร ดังนั้น จะถูกเพิ่มภาษีเป็น 35% สำหรับรถที่รองรับน้ำมัน E20 และ 30% สำหรับบางรุ่นที่รองรับน้ำมัน E85
ปิคอัพ ปล่อยไอเสียเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร ต้องจ่ายเพิ่ม ปิคอัพ ที่ปล่อยไอเสียไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 3% สำหรับรุ่นไม่มีแคบ 5% สำหรับรุ่นมีแคบ และ 12% สำหรับรุ่น 4 ประตู แต่ถ้าปล่อยเกินจากนี้ จะเสียเพิ่มขึ้นเป็น 5% 7% และ 15% ตามลำดับ จากข้อมูลปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่มีค่าไอเสียเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะส่งผลให้โดนขึ้นภาษีเกือบทุกรุ่น
พีพีวี จ่ายภาษีเพิ่ม รถปิคอัพดัดแปลง หรือพีพีวี ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 3,250 ซีซี จากเดิมเสียภาษี 20% ทุกรุ่น ในอัตราใหม่จะเพิ่มเป็น 25% สำหรับรถที่ปล่อยไอเสีย ไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร และ 30% สำหรับรถที่ปล่อยไอเสียเกิน ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ส่วนใหญ๋นั้นยังมีค่าไอเสียเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร หมายความว่า ในปี 2559 รถพีพีวี จะเสียภาษีแพงขึ้นอีก 10% แทบทุกรุ่น
ไฮบริด เสียเท่าเดิม ภายใต้เงื่อนไขใหม่ ในโครงสร้างภาษีเดิม รถยนต์ไฮบริดทุกรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ไม่เกิน 3,000 ซีซี จะเสียภาษี 10% เท่ากัน แต่ภาษีใหม่ จะต้องเป็นรถยนต์ไฮบริดที่ปล่อยไอเสียไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น จึงจะเสียอัตราเดิมที่ 10% ถ้ามากกว่านั้น ภาษีจะเพิ่มเป็น 20% จากข้อมูลช่วงต้นปี 2015 พบว่า รถยนต์ไฮบริดหลายรุ่นปล่อยไอเสียไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร เช่น โตโยต้า พรีอุส , ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด , เมอร์เซเดส-เบนซ์ ตระกูลบลูเทค ไฮบริด เกือบทุกรุ่น , โพร์เช กาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด แต่ก็ยังมีบางรุ่น ที่ปล่อยไอเสียมากกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะต้องเสียภาษีเพิ่ม เช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส 300 บลูเทค ไฮบริด และบีเอ็มดับเบิลยู ตระกูลแอคทีฟไฮบริดทั้งหมด
สุดท้ายนี้การจะเลือกรถสักคันให้เหมาะสมกับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทั้งนี้ก็ควรจะเป็นรถที่เหมาะสมกับฐานะการเงินของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นรถใหม่ป้ายแดง รถมือสองดีๆ ก็มีมากมาย ส่วนมือใหม่การเงินยังไม่นิ่ง ให้เน้นรถตลาดเครื่องยนต์เล็กๆ ยอดนิยม เพราะซื้อง่ายขายต่อคล่อง
แต่ข้อแนะนำ การซื้อรถยนต์ 1 คัน ควรวางแผนใช้กันยาวๆ ไม่น้อยกว่า 5 - 10 ปี โดยเฉพาะหากเป็นรถยนต์ป้ายแดง เพราะการเปลี่ยนรถบ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องดี มีแต่ค่าใช้จ่าย การซื้อรถยนต์ที่เกินกำลังตัวเอง ผ่อนไม่จบ หรือต้องขายเพราะมีเหตุเรื่องเงิน ก็ไม่ควรจะทำ อย่างไรก็ดี ก่อนจะซื้อรถสักคันต้องมีวินัย มีความจำเป็นต้องใช้จริงๆ ศึกษาค่าใช้จ่ายที่ตามมาอย่างละเอียด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี