สศช.หรือสภาพัฒน์ หั่นจีดีพีปี’58 จาก 3-4% เหลือแค่2.7-3.2% เหตุเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งออกติดลบ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ แต่ยังหวังลงทุนภาครัฐ-การท่องเที่ยว และค่าเงินบาทอ่อนมาช่วยหนุนส่งออกให้ฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมช.คมนาคม และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สศช.ได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) หรือเศรษฐกิจปี 2558 เหลือเพียง 2.7-3.2% ต่อปี จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้3-4% ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก การขยายตัวจำนวนนักท่องเที่ยวในอัตราที่สูง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีจะอยู่ที่ 30 ล้านคน
ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งจะทำให้มูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทในครึ่งปีหลังปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 33.5-34.5 บาทต่อดอลลาร์ และราคาน้ำมันและเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ช่วยเพิ่มอำนาจซื้อและเอื้ออำนวยต่อการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง
ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าคาดว่าจะ -3.5% ต่อปี จากคาดการณ์เดิมขยายตัว 0.2% ต่อปี ด้านการบริโภคของครัวเรือน 1.8% และการลงทุนรวมขยายตัว 6.2% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วง (-0.7)-(-0.2) และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 4.8% ของจีดีพี
สำหรับข้อจำกัดที่เศรษฐกิจไทยจะเผชิญในช่วงที่เหลือของปี ได้แก่ การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวลง การอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกตกต่ำ และผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง
ส่วนการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2558 รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการใช้จ่าย เงินงบประมาณและขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐ,การดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร มาตรการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี, การแก้ไขปัญหาการผลิตในภาคเกษตรโดยการดูแลต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตรให้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับการลดลงของราคานำเข้าและการอ่อนค่าของสกุลเงินในแหล่งนำเข้าสำคัญๆ การส่งเสริมการรวมกลุ่มและการรวมพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรรายย่อยและการส่งเสริมการทำสัญญาเช่าที่ดินทางการเกษตรในลักษณะการแบ่งปันผลผลิตแทนการคิดค่าเช่าในลักษณะเหมาจ่าย
นอกจากนี้ยังต้องประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐและภาคเอกชนในการแสวงหาตลาดและเพิ่มปริมาณสินค้าส่งออกที่สำคัญๆ และการดูแลค่าเงินบาทให้ปรับตัวสอดคล้องกับสกุลเงินในประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง การดูแลราคาสินค้าในกลุ่มที่เป็นวัตถุดิบนำเข้าสำคัญๆ ให้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาตลาดโลกและการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน การลดความล่าช้าและข้อจำกัด ในกระบวนการทำงานและระเบียบปฏิบัติของภาครัฐ และการแก้ปัญหาการค้าแรงงานข้ามชาติและปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย
นายอาคมกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2558 ขยายตัว 2.8% จากไตรมาสก่อนหน้าขยายตัวได้ 3% ส่งผลให้ครึ่งแรกของปี 2558 เศรษฐกิจไทยขยายตัว2.9% ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการขยายตัว 0.2% ในช่วงครึ่งแรก ของปี 2557 และ 1.6% ในช่วงครึ่งหลัง ของปี 2557
ด้านการใช้จ่าย การขยายตัวทางเศรษฐกิจมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวสูงของการลงทุนภาครัฐตามความคืบหน้าของการเบิกจ่ายและการดำเนินโครงการลงทุนที่สำคัญๆ และการส่งออกบริการที่ขยายตัวสูงและเร่งขึ้นจากไตรมาสแรกตามการปรับตัวดีขึ้นของความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยทางการเมืองในประเทศ รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการบริโภคภาคครัวเรือนและภาครัฐ ในขณะที่การส่งออกสินค้าได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การลดลงของราคาสินค้าในตลาดโลกและการอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศคู่ค้า
ขณะที่ภาคต่างประเทศการส่งออกสินค้ามีมูลค่า 52,657 ล้านดอลลาร์ ลดลง 5.5% โดยปริมาณการส่งออกลดลง 3.8% และราคาสินค้าส่งออกลดลง 1.8% ในด้านการผลิตสาขาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาก่อสร้างขยายตัวสูง สาขาบริการอื่นๆ ขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่สาขาเกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และสาขาอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง ตามการส่งออก อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดีโดยที่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ 0.9% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับ -1.1% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 137,694 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.2% ของจีดีพี
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธปท.กล่าวถึงกรณีที่สศช. ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้เหลือโต 2.7-3.2% ว่า เป็นระดับที่ใกล้เคียงกับที่ธปท.ประมาณการไว้ โดยเศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพและมั่นคง ทั้งอัตราแลกเปลี่ยนดุลบัญชีเดินสะพัดการจ้างงานและเงินเฟ้อ เศรษฐกิจยังยิ้มได้แม้หน้าตาจะไม่ผ่องใส ทั้งนี้หากรัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สามารถทำได้ ถ้ามาตรการดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตยั่งยืน เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้วางรากฐานในอนาคต และบรรเทาความเดือดร้อนที่ตรงจุด โดยเฉพาะเกษตรกร และเอสเอ็มอี
“แบงก์ชาติได้ดำเนินมาตรการผ่อนคลาย ด้านอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย และปฏิรูประบบสถาบันการเงินให้เข้มแข็งไว้อยู่แล้ว จึงไม่มีความกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” นายประสารกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี