สตง.สุ่มตรวจเอกสารหลักฐานของผู้ได้สิทธิได้คืนภาษีในโครงการ “รถคันแรก”พบพิรุธอีกเพียบ ระบุหากพบเป็นการกระทําผิดของเจ้าหน้าที่ ให้ “กรมสรรพสามิต”ดําเนินการตามควรแก่กรณี แต่หากเป็นการกระทําผิดของผู้ขอใช้สิทธิ ก็ขอให้เรียกเงินภาษีคืน
มีรายงานจาก สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ระบุว่า สตง.ได้รายงานผลตรวจสอบการดําเนินงาน โครงการรถคันแรกของกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ตั้งแต่เริ่มโครงการปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-2558 (ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2554 วงเงินงบประมาณ 4.73 หมื่นล้านบาท กําหนดระยะเวลาดําเนินการตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2555) พบว่า ผู้ขอใช้สิทธิไม่ปฏิบัติตามมติ ครม. และแนวทางที่กําหนด และไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนดในหลายกรณี
ทั้งนี้จากการสุ่มตรวจสอบผู้ขอใช้สิทธิจากโครงการฯจํานวน 4,340 ราย ของสรรพสามิตพื้นที่สาขาจํานวน 7 แห่ง พบว่ามีผู้ขอยื่นเอกสารหลักฐานไม่ครบภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2555 ตามมติ ครม. ที่กำหนดไว้ จํานวนถึง 1,640 ราย คิดเป็น 37.79% ของจํานวนที่สุ่มตรวจสอบ แต่ กรมสรรพสามิตได้อนุมัติสิทธิและจ่ายเงินภาษีคืนคิดเป็นจํานวนเงิน 121.79 ล้านบาท และมีผู้ที่ยื่นเอกสารโดยไม่มีใบจอง หรือยื่นเพิ่มเติมเกิน 90 วัน ตามที่มติ ครม. กําหนด จํานวน 2 ราย ซึ่งกรมสรรพสามิตได้อนุมัติสิทธิและจ่ายเงินภาษีจํานวนเงิน 1.8 แสนบาท
นอกจากนี้ ยังมีผู้ขอใช้สิทธิไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนด โดยมีอายุไม่ถึง 21 ปี ทะเบียนบ้านคนละชื่อกับผู้ขอใช้สิทธิรับรถยนต์ไม่ตรงรุ่น หมายเลขเครื่องยนต์และใบจองรถยนต์คนละชื่อกับผู้ขอใช้สิทธิ มีจํานวน 6 ราย ซึ่งกรมสรรพสามิตได้อนุมัติจํานวนเงิน 2.6 แสนบาท ส่งผลให้รัฐจ่ายเงินคืนภาษีไม่ถูกต้องให้กับผู้ขอใช้สิทธิทั้ง 3 กรณีรวม 1,648 ราย คิดเป็นจํานวนเงินภาษี 122.23 ล้านบาท
รายงานข่าว สตง. ยังระบุอีกว่า สาเหตุที่โครงการนี้มีข้อผิดพลาด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ที่ทําหน้าที่ตรวจรับเอกสารขาดความรอบคอบและความระมัดระวังและเข้าใจว่าหากผู้ขอใช้สิทธิมายื่นใบจองรถยนต์เจ้าหน้าที่จะนับระยะ เวลาการให้สิทธิ 90 วัน โดยนับถัดจากวันรับมอบรถยนต์โดยไม่พิจารณาถึงวันที่จดทะเบียนรถยนต์
ทั้งนี้สตง. ได้ทำข้อเสนอแนะให้ อธิบดีกรมสรรพสามิต สั่งให้สํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ พื้นที่สาขาทุกแห่งตรวจสอบเอกสารหลักฐานของผู้ได้สิทธิทั้งหมด หากพบไม่ปฏิบัติตามมติ ครม. และแนวทางที่กําหนด โดยเฉพาะผู้ที่ขอใช้สิทธิจํานวน 1,648 ราย ที่เป็นปัญหาดังกล่าว ให้เจ้าหน้าที่สรรพสามิต ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากพบเป็นการกระทําผิดของเจ้าหน้าที่ ให้ดําเนินการตามควรแก่กรณี แต่หากเป็นการกระทําผิดของผู้ขอใช้สิทธิ ก็ขอให้เรียกเงินภาษีคืน
สตง.ยังระบุว่า ในส่วนผู้ขอใช้สิทธิที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขเมื่อครบกําหนดไม่ได้นําเงินส่งคืน ให้กับรัฐจํานวน 1,239 ราย เป็นจํานวนเงิน 72.79 ล้านบาท นั้น ที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้ส่งกรมบัญชีกลางให้ดําเนินการฟ้องแล้ว 399 ราย คิดเป็น 32.20% ของจํานวนผู้ขอใช้สิทธิที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขและยังไม่ชําระเงินคืนให้กับรัฐจํานวน 1,239 ราย เป็นจํานวนเงิน 22.82 ล้านบาท ดังนั้น สตง.จึงเสนอแนะให้อธิบดีกรมสรรพสามิต สั่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการเรียกเงินคืน กรณีจ่ายเงินเกินสิทธิและผิดเงื่อนไขเร่งรัดการดําเนินการโดยเร็ว โดยเฉพาะการส่งให้กรมบัญชีกลางดําเนินการฟ้องร้อง
ส่วนการนําส่งเงินคืนกรณีผิดเงื่อนไขไม่เป็นไปตามระเบียบ จากการสุ่มตรวจสอบพบว่าเจ้าหน้าที่การเงินของสรรพสามิตพื้นที่ขอนแก่น สาขาพล มีการส่งหลักฐานการรับเงินคืนจากผู้ใช้สิทธิเกินระยะเวลาที่กําหนดจํานวน 14 ราย เป็นเงิน 5.6 หมื่นบาท
ซึ่งกรณีดังกล่าวกรมสรรพสามิตได้ดําเนินการลงโทษแล้ว
ขณะที่เจ้าหน้าที่การเงินของสรรพสามิตพื้นที่พิจิตรมีการดําเนินการส่งเงินล่าช้าจํานวน 10 รายเป็นเงิน 6,470 บาท แต่ยังไม่ได้ดําเนินการสอบข้อเท็จจริง
นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมการค้าภายใน จะร่วมมือกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมศุลกากร และดีเอสไอในการเข้าไปตรวจสอบกรณีคนจีนมีการใช้นอมินีคนไทยในการทำธุรกิจอำพรางเข้ามาทำเป็นผู้รวบรวมสินค้าผลไม้จากไทยเพื่อส่งออกไปจีน (ล้งผลไม้ จีน) และสินค้าผลไม้ที่ตกเกรดส่วนที่เหลือจากการส่งออกนำกลับมาขายปลีกในไทย ซึ่งถือว่าเป็นการทำผิดกม.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และยังส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรวบรวมสินค้าผลไม้เพื่อการส่งออกของคนไทยในท้องถิ่น
ทั้งนี้ล่าสุดกรมการค้าภายในได้ส่งรายชื่อผู้ประกอบการล้งคนจีน และล้งไทยที่ร่วมทุนกับจีน จำนวน 1,094 ราย ทั่วประเทศ แบ่งเป็น ผู้ค้าลำไย 473 ราย, ทุเรียน 556 ราย และมังคุด 65 ราย ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคตะวันออก เช่น จ.ระยอง,จันทบุรี และตราด ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว เพื่อไปตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้น เส้นทางทางการเงิน และพฤติกรรมการทำธุรกิจ เพราะตามกฎหมายของไทยจะไม่อนุญาตให้ ผู้ประกอบการต่างชาติมาทำธุรกิจค้าปลีกผลไม้ในประเทศ โดยหากตรวจสอบแล้วพบว่าทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดี
“ที่ผ่านมามีการร้องเรียนจากผู้รวบรวมผลไม้เพื่อการส่งออกคนไทยที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่มีคนจีนมาแย่งซื้อผลไม้จนหมดสวน โดยเฉพาะทุเรียน มังคุด โดยผลผลิตที่ออกมาของทุเรียน ลำไย มังคุด ปกติผลผลิต 70-80% จะส่งออกไปจีน เนื่องจากผลไม้ไทยได้รับความนิยมจากคนจีนมาก”
ส่วนปัญหาการเสียภาษีทาง กระทรวงพาณิชย์จะมีการหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม ในการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย แต่ไม่ต้องเสียภาษี ในขณะที่นิติบุคคลไทยต้องเสียภาษี เพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในการทำธุรกิจระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ไขปัญหาล้งผลไม้ ทางนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสนใจมาก โดยทางกรมการค้าภายในเตรียมเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้ที่ประชุมครม.ได้รับทราบอย่างช้าต้นเดือนหน้า เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบระยะยาวต่อ ระบบการค้าขายผลไม้ในไทย เกิดผลเสียต่อเกษตรกรในอนาคต เพราะอาจจะเกิดการถูกเอาเปรียบจากการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ไม่เป็นธรรมได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี