3 ต.ค.59 ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ในการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 2 ตุลาคม 2559 ตนและคณะ ได้เข้าพบและหารือกับรัฐบาล เอกชน นักธุรกิจ นักลงทุน ของญี่ปุ่น ตลอดจนเข้าร่วมประชุมวิชาการทางนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจากทั่วโลกเข้าร่วมประชุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางครั้งนี้ ดร.พิเชฐ ได้นำคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ เลขาธิการ สำนักงาน คณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และดร.ลักษมี ปลั่งแสงมาส ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เข้าร่วมสัมมนา “นวัตกรรมอาหารในประเทศไทย” ซึ่งทางองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือเจโทร (Japan External Trade Organization : JETRO) จัดขึ้น โดยเชิญนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการ จาก 250 บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นเข้าร่วมรับฟัง
ทั้งนี้ ผู้แทนของไทยได้ผลัดกันให้ข้อมูลถึงความพร้อมทางด้านบุคลากรวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องอาหาร กระบวนการผลิตและการแปรรูปวัตถุดิบด้านการเกษตร และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นในการทำวิจัยและพัฒนา ในประเทศไทย รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นประตูเชื่อมสู่กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) รวมถึง 10 ประเทศอาเซียน สร้างความสนใจให้กับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
รมว.วิทยาศาสตร์ฯและคณะ ยังได้เดินทางเข้าพบนาย เตสุเกะ คิตายามา (Teisuke Kitayama) ประธานกรรมการบริหารของธนาคาร เอสเอ็มบีซี Sumitomo Mitsui Banking Corporation (SMBC) ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่น เพื่อหารือถึงแนวทางความร่วมมือในโครงการเมืองนวัตกรรมอาหารของไทย โดย ดร.พิเชฐ กล่าวว่า บรรยากาศในการหารือเป็นไปด้วยดี ทางผู้บริหารของธนาคารเอสเอ็มบีซี สนใจโครงการเมืองนวัตกรรมอาหารของไทย และได้วิเคราะห์ความต้องการของบริษัทอาหารชั้นนำของญี่ปุ่นซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารในการมาตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในเมืองนวัตกรรมอาหารให้เราฟัง ซึ่งตนและคณะได้ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับโครงการทั้งในด้านนโยบายและด้านโลจิสติกส์รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างที่จะได้รับ ทั้งนี้ไม่เฉพาะธนาคารเอสเอ็มบีซีเท่านั้นที่สนใจโครงการเมืองนวัตกรรมอาหารของเรา แต่ยังมีอีกหลายธนาคารที่ติดต่อสอบถาม เนื่องจากระบบและเงื่อนไขในการลงทุนตลอดจนระบบการขึ้นทะเบียนของประเทศไทยมีความยืดหยุ่นมากกว่า
นอกจากนี้ยังได้เข้าพบและหารือกับ นายโยซูเกะ ซูรูโฮะ (Yosuke TSURUHO) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น เพื่อพูดคุยและกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ทีมีมาอย่างยาวนาน และจะครบ 130 ปี ในปีหน้า โดยได้มีการแลกเปลี่ยนกันถึงการวิจัยและพัฒนาที่จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาค เช่น ความปลอดภัยทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงของสภาพบรรยากาศ และการสาธารณสุข เป็นต้น
“ผมได้เสนอให้ประเทศไทยและญี่ปุ่นได้พัฒนาความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาในสามด้านหลัก อันได้แก่ โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร สตาร์ทอัพ และดิจิทัลอีโคโนมี รวมถึงความร่วมมือแบบพันธมิตร ในการพัฒนากำลังคน ทั้งในระดับช่างเทคนิค และวิศวกร เพื่อรองรับการขยายตัว และการพัฒนาเทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมของบริษัทญี่ปุ่นในไทย โดยที่ประเทศไทยพร้อมเป็นประตูหลักสู่อาเซียนสำหรับประเทศญี่ปุ่น” รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าว
นอกจากนี้ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ และคณะ ยังได้เข้าเยี่ยมชมสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมแห่งมหานครโตเกียว รวมทั้ง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมชั้นสูงแห่งชาติ หรือ เอไอเอสที (National Institute of Advanced Industrial Science and Technology: AIST) โดยได้ชี้แจงนโยบายหลักของรัฐบาลไทยในการสนับสนุนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการสนับสนุน 2 โครงการหลักคือ สตาร์ทอัพและเมืองนวัตกรรมอาหาร ที่จะเป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย ซึ่งทาง เอไอเอสทีให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และได้มีการพูดคุยกันในรายละเอียดแบบรูปธรรมถึงกลไกความร่วมมือที่จะสามารถทำได้ระหว่างประเทศไทยและเอไอเอสที โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบว่าจะกลับไปทำการบ้านร่วมกัน และกลับมาหารือกันอีกครั้ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี