10 พ.ย.59 นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3 ของปี 2559 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มียอดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลคงค้าง 3.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 1.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.89% ของสินเชื่อรวมที่ 11 ล้านล้านบาท สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 2.72% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ 5 ปี นับจากไตรมาสสองปี 54 ที่อยู่ 2.95%
ทั้งนี้ ยอดเอ็นพีแอลคงค้างที่สูงขึ้น เกิดจากคุณภาพสินเชื่ออุปโภคบริโภคด้อยลงเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะเอ็นพีแอลบัตรเครดิตที่อยู่ในระดับที่สูงถึง 5.1% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ 4.25% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 11 ปีนับตั้งแต่ปี 48 เป็นผลมาจากช่วงก่อนหน้านี้ มีธนาคารบางแห่งไม่ยอมจัดชั้นให้ลูกหนี้ด้อยคุณภาพเป็นเอ็นพีแอล แต่หลังจาก ธปท.เข้าไปตรวจสอบและดำเนินการอย่างเข้มงวด ทำให้เอ็นพีแอลในกลุ่มดังกล่าวสูงขึ้น แต่สัดส่วนของเอ็นพีแอลบัตรเครดิตอยู่ในระดับต่ำที่ 1.7% ของสินเชื่อรวม ส่วนประเภทที่มีน้ำหนักเยอะเป็นประเภทที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นบ้างเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.81%
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ แนวโน้มเอ็นพีแอลจะปรับตัวดีเนื่องจากเป็นฤดูกาลที่ธนาคารจะเข้ามาบริหารจัดการปรับโครงสร้างหนี้ ตัดหนี้ขาย แต่เอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้น มองว่าจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ โดยต้องจับตาในไตรมาสแรกของปี 60 ที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น หากภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับทรงตัว โดยเฉพาะภาคธุรกิจเอสเอ็มอี ภาคอุตสาหกรรม และพาณิชย์ ทั้งนี้ เอ็นพีแอลที่สูงขึ้นทำให้ธนาคารพาณิชย์ มีการกันสำรองเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเพื่อรองรับคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง โดยเงินสำรองระบบธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น 2.1 หมื่นล้านบาท เป็น 5.13 แสนล้านบาท ซึ่งทำให้กำไรของธนาคารพาณิชย์ลดน้อยลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 4.9 หมื่นล้านบาท
ด้านสินเชื่อ ระบบธนาคารพาณิชย์มีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 2.4% จากไตรมาสก่อนหน้า 3.3% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 6 ปี เป็นผลมาจากการชำระคืนหนี้ของสินเชื่อธุรกิจซึ่งส่วนหนึ่งหันไประดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ และธนาคารระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่มากนัก ทำให้การใช้วงเงินของภาคธุรกิจอยู่ในระดับต่ำ คาดว่าทั้งปีจะไม่เกิน 3% แต่มีโอกาสอยู่ในระดับที่มากกว่า 2.4% ซึ่งถ้าจะทำให้ได้ 3% จะต้องปล่อยสินเชื่อ 3 แสนบาทต่อเดือน
สำหรับสินเชื่อธุรกิจคิดเป็น 67.6% ของสินเชื่อรวม ขยายตัวได้ 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวได้ 2% จากภาคธุรกิจการเงิน โดยเฉพาะการคืนหนี้ของธุรกิจโฮลดิ้งเพื่อซื้อกิจการค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนหนึ่งระดมทุนด้วยการออกหุ้นแทน และสินเชื่อภาครัฐ สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่รวมธุรกิจการเงิน ชะลอลง 2% โดยยังชะลอตัวลงในภาคอุตสาหกรรม แต่ภาคบริการและพาณิชย์ขยายตัวเพิ่มขึ้น สำหรับสินเชื่อเอสเอ็มอี ขยายตัว 3.2% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 2.9%
ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภค ที่คิดเป็น 32.4% ของสินเชื่อรวม ขยายตัว 5.2% ชะลอลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 6% เป็นการชะลอลงจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยชะลอลง 7.7% สินเชื่อส่วนบุคคล 2.7% และสินเชื่อบัตรเครดิต 6% ขณะที่สินเชื่อรถยนต์ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.9% ตามยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ปรับดีขึ้น
"ภาพรวมฐานะทางการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากการจัดสรรกำไร และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง หรือบีไอเอส เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.5% ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างสูง" นายดอน กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี