กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จัดเวทีเสวนาให้ความรู้ผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมรองเท้าไทย รับมือการแข่งขัน และ ผลกระทบจากด้านอื่น ยอมรับปัจจุบันอาการน่าเป็นห่วง เจอทั้งปัญหาต้นทุนพุ่ง คู่แข่งแย่งตลาด ชี้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถอยู่ตลาดล่างได้อีกต่อไป เตรียมดึงสถาบันการเงินของรัฐ เสริมสภาพคล่อง ของงบรัฐพัฒนาศักยภาพ รองรบแข่งขันเวที เออีซี
นายโสภณ ผลประสิทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวในงานเสวนา "เปิดแนวรุกบุกAEC เส้นทางรองเท้าของ ประเทศไทย กับกลยุทธ์การ ทวง คืนความเป็นแชมป์อุตสาหกรรมรองเท้าใน อาเซียน" ว่า ในปัจจุบัน การแข่งขันทางเศรษฐกิจ และการค้าเสรีนั้นมีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ที่กำลังจะถึงนี้ ซึ่งอาเซียนได้ตั้งเป้าในการรวมตัวกัน เพื่อสร้างตลาดและฐานการผลิตเดียว โดยมีการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตต่างๆ อย่างสินค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมือ และเกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรีมากขึ้น ตลอดจนกระบวนการผลิตที่สามารถเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ พร้อมการสร้างมาตรฐานของสินค้ากฎเกณฑ์ต่างๆร่วมกัน
ทั้งนี้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อาจส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงินมากขึ้น ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทย จะต้องมีการเตรียมความพร้อมปรับตัวในการบริหารต้นทุน และยกระดับขีดความสามารถของธุรกิจในทุกภาคส่วน บุคลากรมีความจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ในด้านการลงทุน แรงงาน กลยุทธ์การตลาด การเจรจาธุรกิจ ตลอดจนกฎระเบียบ ข้อบังคับที่ทำขึ้นร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกซึ่งหน่วยงานภาครัฐเองเปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่จะสามารถผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันในตลาดสากลได้อย่างเต็มที่
สำหรับนโยบายประจำปี 2556 ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรม มีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจ 9 สาขา ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มของการขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ อุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมสินค้าไลฟ์สไตล์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนังถือเป็นอุตสาหกรรมที่แรงงานไทยมีศักยภาพในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ แต่กลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการผลิตลดลง ซึ่งจากสถิติการผลิตรองเท้าเมื่อช่วงปี 2544 - 2549 กำลังการผลิตรองเท้าเฉลี่ยประมาณปีละ 27 ล้านคู่ช่วงปี2552-2554 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณปีละ 19 ล้านคู่ และปี 2555 ที่ผ่านมา กำลังการผลิตลดลงเหลือเพียง 13.7 ล้านคู่ ซึ่งที่ผ่านมารองเท้าไทยมีมูลค่าการส่งออกกว่า 5 หมื่นล้านบาท แต่ปัจจุบันกลับเป็นรองคู่แข่งอย่างเวียดนามซึ่งมีกำลังการผลิตมากและมูลค่าการส่งออกมากกว่าไทยถึง 3 เท่า ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่ากังวล เนื่องจากมีการนำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้น แรงงานเฉพาะด้านในประเทศน้อยลง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ประกอบการไทยจะต้องหาวิธีการรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ตลอดจนตั้งเป้า ปี 58 ให้เกิดการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาด AEC
โดยในปี 2556 กสอ. ใช้งบประมาณสำหรับการส่งเสริมผู้ประกอบการอยู่ที่ 500-600 ล้านบาท จากงบประมาณรวมของกรมฯ ที่ 1 พันกว่าล้านบาท ซึ่งในปี 2557 ที่ต้องเร่งพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการทั้งด้านประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนมากขึ้น ทำให้ กสอ. ของบประมาณรวมเพิ่มเป็นมากกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้งบประมาณยกระดับผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาททั่วประเทศนั้น กสอ. ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ซึ่งล่าสุดพบว่าการปิดกิจการยังอยู่ในระดับปกติ โดยปัญหาที่พบส่วนใหญ่คือการขาดสภาพคล่องเนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น ดังนั้น กสอ. จึงช่วยเหลือในส่วนนี้โดยการดึงสถาบันการเงินทั้งรัฐและเอกชนเข้ามาให้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนยากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่
“กรมฯให้การสนับสนุนด้านสภาพคล่องโดยการหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ ทั้งจากที่รัฐบาลให้งบประมาณมา 2 หมื่นล้านบาท และปล่อยผ่านเอสเอ็มอีแบงก์แล้วพันกว่าล้านบาท และมีการดึงธนาคารอื่นๆ เข้าร่วมเช่นเอ็กซิมแบงก์ ออมสิน ไทยพาณิชย์ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีเพราะแต่ละแห่งมีแคมเปญที่พร้อมจะเข้าร่วมโครงการได้อยู่แล้ว” นายโสภณ กล่าว
ด้านนายครรชิต จันทนพรชัย นายกสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการรองเท้าไทย ต้องเร่งปรับตัวก่อนที่จะเข้าสู่ AEC เพราะหากปี 2558 ที่ เริ่มเข้า AECนั้น การแข่งขันจะต้องเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ผู้ประกอบการไม่สามารถยึดนโยบายการผลิตที่มีค่าแรงต่ำได้อีกต่อไป แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการควรทำนั้นคือการพัฒนาสินค้าให้อยู่ในระดับตลาดบน และพยายามรุกส่งออกตลาดต่างประเทศทั้งในแถบเอเชีย ยุโรปและอเมริกา
“การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ทำให้ต้นทุนค่าแรงปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 30% ของต้นทุนรวม จากปกติที่อยู่ประมาณ20% ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวลดต้นทุน และหันมาผลิตเพื่อขายเองที่ให้มาร์จิ้นอยู่กว่า 50-60% หรือรับผลิตรองเท้าแฟชั่นแบรนด์ดังที่ได้มาร์จิ้น 10-15% แทนการรับจ้างผลิตรองเท้าบางประเภทเช่นรองเท้ากีฬาที่ให้มาร์จิ้นเพียง 5% เท่านั้น”นายครรชิต กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี