ดัชนีตลาดหุ้นแดงเถือกทั้งกระดาน ร่วงกว่า50 จุด ขณะที่วอลุ่มหนาแน่นทุบสถิตินับแต่ตั้งตลาดหุ้นมา พบนักลงทุนในประเทศทุบ ขณะที่ต่างชาติขาย นักวิเคราะห์ชี้ปัจจัยลบรุมทั้ง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านไม่ผ่าน ขณะที่กังวลว่าเก้าอี้นายกฯจะหลุดจากกรณีเงินกู้ 30 ล้าน
การซื้อขายหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2556 ที่ผ่านมา ดัชนีทรุดลงอย่างหนัก โดยปิดตลาดภาคเช้าปิดที่ 1,468.94 จุด ลดลงถึง 60.58 จุด หรือ 3.94 % ขณะที่ภาคบ่ายกลับมีแรงซื้อกลับมาบ้าง ก่อนปิดทำการที่ระดับ 1,478.97 จุด ลดลง 50.55 จุด หรือ -3.30% ขณะที่มูลค่าซื้อขายหนาแน่น 101,361.64 ล้านบาท นับเป็นมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ หรือตั้งแต่ก่อตั้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)มา
สำหรับ 5 อันดับที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า การปรับตัวลดลงแรงของดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะขายทำกำไรออกมา หลังจากที่ดัชนี ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว ซึ่งมองในมุมกลับกันก็เป็นจังหวะและโอกาสที่ดีสำหรับการเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีด้วย
"หุ้นที่ขึ้นสูงก็มีโอกาสปรับลงมากเป็นธรรมดา"นายจรัมพร กล่าว กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่า นักลงทุนจะได้มองเห็นการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นลักษณะเหรียญ 2 ด้านไม่ใช่ด้านเดียว หรือมีแต่กำไรอย่างเดียว อย่างช่วง ก.ย.2554 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯก็เคยปรับลงมากเหมือนกัน
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า การปรับลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไม่เกี่ยวกับเงินที่มาจากต่างประเทศ เพราะการซื้อขายหุ้นในช่วงเช้า นักลงทุนต่างประเทศยังซื้อสุทธิอยู่ ซึ่งหมายความว่า นักลงทุนที่ขายสุทธิต้องเป็นนักลงทุนไทย ส่วนตัวเลขเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่าเงินทุนไหลเข้าก็ไมได้เข้าตลาดหุ้น เนื่องจากส่วนใหญ่เลือกเข้าลงทุนในตลาดพันธบัตร(บอนด์)มากกว่า
ร้อยโทหญิงสุณิสา เลิศภควัตร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานกาณ์ตลาดหุ้นที่ตกนั้น เรื่องดังกล่าวมีหลายปัจจัยที่เกิดจากเหตุการณ์ปกติ และไม่ปกติ เพราะอาจมีบุคคลที่อยู่เบื้องหลังในการปั่นหุ้น จึงไม่ใช่ดัชนีตัวเดียวเป็นผู้ชี้วัด ว่าประชาชนมั่นใจหรือไม่มั่นใจในการลงทุนของรัฐบาล
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ดัชนีปรับตัวในแดนลบตามตลาดต่างประเทศ มาจากหลายๆปัจจัยรวมกัน ทั้งความกังวลปัญหาวิกฤติการเงินไซปรัส ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ ความกังวลกรณีปัญหาพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน อาจขัดรัฐธรรมนูญ และความกังวลกรณีนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปล่อยกู้ 30 ล้านบาท ให้กับสามีนอกสมรส อาจส่งผลกระทบให้การรัฐบาลสะดุด หรืออาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งส่งผลโดยตรงกับแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (เมกะโปรเจค) ต้องเลื่อนไป
ส่วน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นเกิดจากราคาหุ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับ 1,000 จุดมาอยู่ที่ 1,600 จุด ทำให้นักลงทุนที่มีกำไรจำนวนมากๆ เทขายหุ้นเพื่อปรับพอร์ตการลงทุน ไม่ได้เกิดจากภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลยังคงยืนยันที่จะลงทุนในโครงการ 2 โครงการขนาดใหญ่คือการลงทุนเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำ 350,000 ล้านบาท และพ.ร.บ.โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้เมื่อนักลงทุนมีกำไรจาก หุ้นจำนวนมากๆ ก็หาเหตุขายหุ้นเพื่อทำกำไร ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีพื้นที่ดีไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ลบ เช่น การเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ ยังสูงกว่า 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
พร้อมยืนยันว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ในช่วงขาขึ้น ไม่ใช่ขาลง ที่สำคัญประเทศไทยเพิ่งจะผ่านพ้นจุดต่ำของเศรษฐกิจ เมื่อปี 2554 เนื่องจากเกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ จึงทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักไปหมด ดังนั้น เมื่อเราผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาได้แล้ว ก็อยู่ในช่วงขาขึ้นที่เพิ่งจะขึ้นได้เพียง 1 ปีกว่าเท่านั้น จึงฝากเตือนไปยังลงทุนว่า อย่างเชื่อกระแสข่าวลือต้องตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ให้ชัดเจน เพราะกระทรวงการคลังขอยืนยันว่า จะไม่มีมาตรการพิเศษใดๆ สกัดเงินทุนต่างชาติที่ไหนเข้ามาในประเทศไทย
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยทิสโก้ ชี้ว่า ดัชนีหุ้นไทยได้รับผลกระทบจาก 3 ปัจจัยคือ หนึ่งความกังวลต่อกระแสต่อต้านการผ่าน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท สอง การเพิ่มวางหลักประกันในบัญชีเงินสดของ ตลท. เป็น 20 % จากเดิม 15 % แล 3.กรณีผู้ลงทุนถูกบังคับให้ขายหลักทรัพย์ (ฟอร์ตเซล) ในบัญชีการใช้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่ามีมูลค่าหุ้นถูกฟอร์ตเซลในระดับไหน พร้อมแนะนำให้นักลงทุนควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดด้วย
ทั้งนี้ พอร์ตลงทุนในวันดังกล่าว พบว่า นักลงทุน สถาบัน ขาย 222.72 ล้านบาท บัญชีโบรกเกอร์ ขาย 1,052.54 ขณะที่ นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 73.55 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศซื้อ 1,201.70 ล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี