การแถลงเปิดการถอดถอนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ส่อรู้เห็นเป็นใจให้เกิดมหกรรมทุจริตโครงการรับจำนำข้าวซึ่งสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ถูก ศ.วิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะผู้แถลงเปิดการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ของป.ป.ช.ชี้ว่าเป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลเดิมๆ และเพื่อสร้างภาพเรียกร้องความเห็นใจโดยไม่สามารถแก้ข้อกล่าวหาได้แม้แต่น้อย ขณะที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) สายนายทหารและตำรวจบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่ม “วงษ์สุวรรณคอนเน็คชั่น” กลับพยายามเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยข้ออ้างเพื่อสร้างความปรองดอง
สำหรับแกนนำกลุ่ม “วงษ์สุวรรณคอนเน็คชั่น” ที่สำคัญคือ พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อนสนิทร่วมรุ่นของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) และพล.ร.อ.ดิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ น้องชายทั้งสองของ พล.อ.ประวิตร พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
สนช.กำหนดชี้ชะตาลงมติถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ในวันที่ 23 ม.ค.นี้ ขณะที่ขบวนการระบอบทักษิณส่งสัญญาณข่มขู่กดดันว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกถอดถอนซึ่งหมายถึงการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีตามมาด้วย และยังไม่รวมถึงแนวโน้มที่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะมีบทบัญญัติห้ามไม่ให้ผู้ที่ถูกชี้มูลความผิดฐานทุจริตประพฤติมิชอบหรือกระทำผิดต่อหน้าที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือลงสมัคร สส.ไปตลอดชีวิต บ้านเมืองอาจลุกเป็นไฟจากการลุกฮือของเครือข่ายระบอบทักษิณทั้งคนเสื้อแดงและกองกำลังก่อการร้ายใต้ดินเหมือนในอดีต
ในการแถลงเปิดการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวทิ้งท้ายเชิงข่มขู่กดดันสนช.ว่า ถ้าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมความปรองดองก็จะไม่เกิด และที่แข็งกร้าวกว่านั้นก็คือท่าทีจาก นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ที่ย้ำว่า ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้รับความยุติธรรมบ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้เพราะจะมีประชาชนออกมาล่มเรือแป๊ะ
สำหรับการยื่นถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ครั้งนี้ชัดเจนทั้งในข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงโดยในข้อกฎหมายนั้นแม้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 จะสิ้นสภาพไปแล้วหลังการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่งฝ่ายระบอบทักษิณใช้เป็นข้ออ้าง แต่การยื่นถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญแม้แต่นิดเดียวโดยการถอดถอนระบุความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุรจริต รวมทั้ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
ส่วนในแง่ข้อเท็จจริงโครงการรับจำนำข้าวได้สร้างความวิบัติล่มจมต่อแผ่นดินครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่ง
ข้อเท็จจริงที่เป็นใบเสร็จมัด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็คือ คำแถลงของ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ที่ก่อนหน้านี้แถลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับตัวเลขความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่บริหารประเทศไม่ถึง 3 ปี แต่ก่อหนี้จากโครงการรับจำนำข้าวถึงเกือบ 1 ล้านล้านบาท
ซึ่งคนทั้งประเทศต้องแบกรับภาระใช้หนี้ไปอีกนานถึง 30 ปี ขณะที่ตัวเลขการขาดทุนเบื้องต้นที่เกิดขี้นแล้วไม่ต่ำกว่า 5.19 แสนล้านบาท ไม่รวมข้าวค้างสต๊อกราว 18 ล้านตัน ที่เสื่อมคุณภาพและข้าวหายอีกจำนวนมากซึ่งจะทำให้ยอดขาดทุนเพิ่มอีกมหาศาล ยังไม่ต้องพูดถึงการทุจริตอย่างมโหฬารที่สร้างความร่ำรวยให้คนบางตระกูลที่คาดว่าเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท
นโยบายรับจำนำข้าวที่ผิดธรรมชาตินอกจากเปิดช่องให้มีการทุจริตอย่างมโหฬารด้วยการตั้งราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดเกือบเท่าตัวยังทำลายวงจรข้าวของประเทศทั้งระบบจนพินาศย่อยยับ และที่สำคัญความล้มเหลวของโครงการทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ถังแตกกู้เงินจนชนเพดานไม่มีเงินจ่ายค่าจำนำข้าวให้ชาวนานานข้ามปีจนชาวนาเครียดฆ่าตัวตายไปถึง 16 ราย
จากปัญหาทุจริตและความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศของโครงการรับจำนำข้าวซึ่งหลายฝ่ายเคยเตือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลายครั้ง แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับเมินเฉยไม่สนใจและยังคงเดินหน้าก่อหนี้ไปกับโครงการรับจำนำข้าวท่ามกลางการทุจริตและความเสียหายที่เกิดกับประเทศรุนแรงมากขี้นเรื่อย
พฤติการณ์ความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงประจักษ์แจ้งทั้งในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง อีกทั้งบทบัญญัติแห่งกฎหมายในการยื่นถอดถอนนั้น เพียงผู้ถูกยื่นถอดถอนมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบก็เข้าข่ายความผิดถูกถอดถอนได้แล้ว อย่าว่าแต่โครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริตอย่างมโหฬารและสร้างความเสียหายต่อประเทศอย่างร้ายแรง
สำหรับการลงมติชี้ชะตาถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของ สนช.ทั้งหมด 220 คน หรือ 132 เสียง ขึ้นไป ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า สนช.อันเป็นผลผลิตของคสช.จะพร้อมใจกันลงมติโดยยึดหลักความถูกต้องชอบธรรมหรือจะยอมจำนนตามคำขู่ปรองดองกับโจรการเมืองที่ทำผิดกฎหมายบ่อนทำลายประเทศ ทั้งนี้กลุ่มที่ต้องจับตาก็คือสนช.สายทหารและตำรวจโดยเฉพาะกลุ่ม “วงษ์สุวรรณคอนเน็คชั่น” โดยเล่ห์เหลี่ยมในการช่วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้พ้นถูกถอดถอนไม่เพียงการลงมติไม่ถอดถอน แต่รวมถึงการใช้วิธีงดออกเสียงหรือโดดประชุมเพื่อให้คะแนนลงมติไม่ถึง 132 เสียง
คสช.ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตั้งสนช.มากับมือและประกาศนโยบายการจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นวาระแห่งชาติ ดังนั้น
23 ม.ค. วันชี้ชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเป็นวันวัดใจสนช.ภายใต้อำนาจคสช.ว่าจะยึดความถูกต้องหรือจะปล่อยให้คนที่ทำลายชาติลอยนวลซึ่งเท่ากับว่ารัฐประหารโดยคสช.เสียของและนั่นหมายถึงวิกฤติศรัทธาของมวลมหาประชาชนต่อคสช.และหมดหวังกับการปฏิรูปประเทศ
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี