วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568
หลังจากที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินสรุปการพิจารณาคำร้องของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) โดยชี้ว่า มติของมหาเถรสมาคม(มส.)ที่มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำเป็นประธานที่ผ่านมาโดยเสนอชื่อสมเด็จช่วงเป็นสังฆราชองค์ใหม่ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.สงฆ์ เพราะมส.ไม่มีอำนาจเสนอชื่อพระสังฆราชได้เอง โดยเป็นอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ปรากฏว่าขบวนการหน้าเดิมๆ ออกมาเคลื่อนไหวไม่ยอมรับคำชี้ขาดของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขณะเดียวกันพยายามกดดันให้มีการเสนอชื่อสมเด็จช่วงเป็นสังฆราชโดยเร็ว
ขบวนการส่อตะแบงดัน สมเด็จช่วง เป็นสังฆราชไม่ว่าจะเป็น พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พ.ศ.) ที่ยืนกรานว่ายังไงมติของมส.ในการเสนอชื่อ สมเด็จช่วง ก็ต้องเดินหน้าต่อไปทบทวนไม่ได้เด็ดขาด รวมทั้ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง ที่ล่าสุดโจมตีสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินอย่างแข็งกร้าวรุนแรงโดยอ้างว่า สมคบกับแก๊ง“3พ” ต้าน สมเด็จช่วง ขึ้นเป็นสังฆราชอย่างชั่วร้ายเลวทราม
เพราะฉะนั้นเพื่อตีแผ่ขบวนการตะแบงของคนบางกลุ่มจึงต้องนำสาระสำคัญผลการพิจารณาของ สำนักงานผู้ตรวจการ
แผ่นดินที่ชี้แจงได้อย่างละเอียดลออทุกแง่มุมและมีเหตุมีผลเพื่อให้สาธารณชนได้พิจารณาดังนี้คือ
มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.สงฆ์ บัญญัติว่า “ในกรณีที่ตำแหน่งพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช”
คำว่า “ให้”ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายถึง“มอบ อนุญาต เป็นคำกริยาบอกความบังคับจึงเป็นการให้อำนาจแก่ผู้ที่กำลังจะกล่าวถึง ซึ่งจากรูปประโยคในมาตรา 7 ที่ว่า
“ให้นายกรัฐมนตรี.....มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานของประโยค โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม......เป็นบทขยายประธานของประโยค ส่วนคำว่า“เสนอ”เป็นคำกริยาของภาคประธาน...”
สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินยังชี้ให้เห็นว่า ในทางกลับกันหากแปลความหมายบทบัญญัติตามมาตรา 7 ข้างต้นเป็นว่า
ให้มส.เป็นผู้เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์เพื่อให้นายกฯนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เท่ากับว่านายกฯจะมีอำนาจหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือนำความขึ้นทูลเกล้าฯ
ไม่ต่างจากบุรุษไปรษณีย์ซึ่งเป็นไปไม่ได้และขัดต่อหลักความเป็นจริงเพราะเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จ
พระสังฆราชแล้ว นายกฯคือผู้ที่สนองพระบรมราชโองการอันเป็นการสะท้อนอำนาจและความสำคัญของนายกฯ
นี่แค่ตัวอย่างรายละเอียดคำชี้แจงที่มีน้ำหนักสมเหตุสมผลของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะฉะนั้น ขบวนการตะแบงควรเลิกเคลื่อนไหวและหยุดข่มขู่กดดันใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายได้แล้ว และถ้าจะว่าไปแล้วหากสมเด็จช่วงเป็นสงฆ์ที่ละแล้วซึ่งกิเลสก็น่าจะประกาศไม่ขอรับตำแหน่งพระสังฆราชเพื่อความสงบของพุทธศาสนาและชาติบ้านเมือง
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี