วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ประเทศบอบช้ำอย่างหนักมานานกว่า 10 ปี จากความแตกแยกในชาติที่ลึกซึ้งรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อนจากการที่ระบอบทักษิณ ก่อตัวขึ้นและเริ่มเข้ามาผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศด้วยแนวคิดธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นและใช้ผลประโยชน์ทุกรูปแบบซื้อประชาธิปไตยและซื้ออำนาจรัฐ รวมทั้งเหิมเกริมถึงขั้นพยายามบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง แต่ในที่สุดก็ถูกมวลมหาประชาชนออกมาแสดงพลังขับไล่และถูกรัฐประหารพ้นจากอำนาจถึง 2 ครั้ง แต่เชื้อร้ายระบอบทักษิณที่ฝังรากลึกและมีอิทธิพลพยายามทำทุกวิถีทางที่จะฟื้นอำนาจกลับมายึดครองประเทศอยู่ตลอดเวลา
หลังการถูกโค่นพ้นจากอำนาจถึง 2 ครั้ง ระบอบทักษิณพยายามทำทุกวิถีทางทั้งบนดิน ใต้ดิน หวังจะช่วงชิงอำนาจรัฐคืนโดยไม่คำนึงถึงความหายนะวิบัติใดๆ ที่จะเกิดกับชาติบ้านเมือง ถึงขั้นจัดตั้งกลุ่มเสื้อแดง กองกำลังก่อการร้ายติดอาวุธ สร้างสถานการณ์ก่อจลาจลทั่วกทม.และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้ชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจา ที่พัทยา ในปี 2552 ตามด้วยการก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองในปี 2553
นอกจากพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศ ระบอบทักษิณยังกดดันทุกวิถีทางเพื่อผลักดันให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมความผิดที่อ้างทำเพื่อคนทุกสีแต่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดคดีทุจริตและคดีความมั่นคงให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆโดยไม่ต้องติดคุกอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐอย่างสิ้นเชิง ซึ่งความพยายามผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมแบบสุดซอยในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์กลายเป็นชนวนนำไปสู่การแสดงพลังต่อต้านของมวลมหาประชาชนหลายล้านคน และทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกยึดอำนาจในที่สุด
ที่ผ่านมามีการตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองในชาติมาหลายคณะซึ่งผลการศึกษาซึ่งน่าจะเป็นแนวทางเหมาะสมมากที่สุดคือผลการศึกษาของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน แต่ผลการศึกษาดังกล่าวถูกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทิ้งลงตะกร้าอย่างไม่แยแสเพราะไม่ตอบสนองเป้าหมายของระบอบทักษิณ
ทั้งนี้ ผลการศึกษาของคอป.สรุปสาระสำคัญได้ว่า คู่กรณีทุกฝ่ายต้องมาเปิดอกพูดคุยเพื่อหาข้อเท็จจริงถึงสาเหตุของความขัดแย้งเพื่อเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต โดยผู้ที่ทำผิดต้องยอมรับผิดและยอมรับโทษความผิดตามกระบวนการยุติธรรม จากนั้นจึงค่อยพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรม ซึ่งการนิรโทษกรรมต้องไม่ทำลายหลักนิติรัฐโดยไม่ครอบคลุมถึงคดีทุจริต คดีหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา และคดีอาญาร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง
แนวคิดผลการศึกษาของ คอป.ดูจะสอดคล้องกับแนวทางของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลชุดปัจจุบันที่สะท้อนจากคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ที่ยืนยันว่าการปรองดองต้องอยู่ภายใต้หลักกฎหมายและมีหลายวิธีการโดยอาจไม่จำเป็นต้องมีการนิรโทษกรรม
นักสังเกตการณ์ทางการเมืองบางฝ่ายมองว่า หากนักการเมืองไม่ประพฤติชั่วร้ายเลวทรามความแตกแยกในชาติคงไม่เกิดขึ้น ดังนั้นการสร้างความปรองดองอย่างแท้จริงและยั่งยืนต้องมุ่งแก้ที่ต้นตอรากเหง้าของปัญหานั่นคือการขจัดตัวการใหญ่ระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยซึ่งเป็นต้นตอของวงจรอุบาทว์อันชั่วร้ายด้วยโทษตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดจริงจังและวางมาตรการคาดโทษอย่างรุนแรงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต เพราะตราบใดที่ระบอบการเมืองอันชั่วร้ายยังลอยนวล ตราบนั้นวิกฤติความแตกแยกก็พร้อมปะทุอีกได้ตลอดเวลาจากการออกมาแสดงพลังขับไล่รัฐบาลอันชั่วร้ายของมวลมหาประชาชนจนกลายเป็นวงจรอุบาทว์อีกซ้ำซาก
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี