อดีตดารานักแสดง “จิ๋ม-ศิริวรรณ เฮง” หรือ “กนกลักษณ์ วุ่นทางบุญ” ผู้ที่เคยฝากฝีมือและสร้างสีสันให้กับละครหลายต่อหลายเรื่อง แต่แล้ววันหนึ่งเธอตัดสินใจหันหลังให้กับวงการ เพราะเหตุผลใด ? พบกับเรื่องราวชีวิตที่สุดแสนจะหนักหน่วง ซึ่งเธอพร้อมเปิดใจกับ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า”
ชีวิต ณ วันนี้
ตอนที่เป็นนักแสดงก็ทำงานเพื่อเงิน แต่พอวันหนึ่งทำธุรกิจแล้วล้มเหลว คือสามีทำรถเทรลเลอร์ แล้วล้มละลายไป 11 ล้าน หลายคนก็ตกใจ เราตอนนั้นก็คิดอะไรไม่ออก คิดอย่างเดียวว่าเราต้องอยู่ได้ ตอนนั้นลูกชายคนโตก็เพิ่งสอบเข้านายร้อยตำรวจได้ ลูกสาวคนเล็กก็เพิ่ง 3-4 ขวบฉะนั้นเรารู้แต่ว่าพรุ่งนี้สำคัญที่สุด ไม่ใช่ไปนั่งนึกถึง 11 ล้าน เพราะมันแก้ไม่ได้ และมันทำให้เราได้รู้เห็นอะไรหลายอย่าง ทำให้เราได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้น พลังครอบครัวทำให้เราไปข้างหน้าได้ดี ก็เลยกลับมาตั้งต้นใหม่ ชีวิตวันนี้ของจิ๋มทำอะไรบ้าง คือส่วนใหญ่จะหมดไปกับลูกและครอบครัวค่ะลูกมาก่อน แล้วก็ต่อด้วยธุรกิจ ทุกครั้งที่เราจะมีกิจกรรมที่บอกให้ลูกต้องทำ เขาจะกุลีกุจอทำให้เราเพราะเราให้กับเขานั่นเอง สำหรับธุรกิจที่จิ๋มทำอยู่นี้เรียกว่าเป็นธุรกิจออนไลน์ ซึ่งยูนิลีเวอร์เป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค แต่เขาไปค้าขายกับบริษัทใหญ่ๆ แล้วเขาได้ออกโปรเจกท์ใหม่ชื่อว่า OMNI Connect เป็นโปรเจกท์ออนไลน์ มีเว็บให้คุณอยากทำคุณก็มาเรียนกับเรา ไปขายสินค้าทางเว็บ โดยเป็นสินค้าเกรดเอ ซึ่งเขาเพิ่งเปิดออนไลน์ได้ประมาณ 2 ปี แต่ก่อนหน้านี้เปิดเป็นเน็ตเวิร์ค ซึ่งจิ๋มทำกับที่นี่มาเป็น 10 ปีแล้วค่ะ
สาเหตุที่มาจับธุรกิจนี้
คือสามีทำรถเทรลเลอร์ แล้วช่วงปี 40 ทุกอย่างมันตก จากตอนนั้นที่ล้มละลาย ก็ไม่รู้ว่าเราจะไปตั้งต้นอะไร เคยไปเป็นช่างแต่งหน้าในอาบอบนวดด้วยนะ ลูกต้องย้ายจากโรงเรียนพระหฤทัย มาอยู่โรงเรียนชั้นสอง ลูกชายต้องตัดรายจ่ายส่วนหนึ่ง รถเทรลเลอร์ถูกยึดหมดเลย มีแค่รถหกล้อที่แอบวิ่ง สวนตัวเรา รถที่ขับอยู่ก็ขับขึ้นทางด่วนไม่ได้ เพราะจะถูกยึด (หัวเราะ) แล้วเราก็ต้องหนีตำรวจ ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยไปแต่งหน้าที่อาบอบนวดตั้งแต่ 11 โมงเลิกประมาณ 4 ทุ่ม แต่งได้เยอะคน ก็จะได้เงินมากขึ้น แล้วเราก็เอากับข้าวเอาแกงไปขาย เดือนนึงจะได้เงินจากแต่งหน้าประมาณแสนกว่าบาท เรียกว่าช่วงนั้นทำงานเพื่อเงินอย่างเดียว ส่วนงานแสดงก็ไปขอ “พี่ต้อย- เศรษฐา” อธิบายให้เขาฟังว่าชีวิตเราเป็นแบบนี้ ถ้าจะเรียกใช้เราก็เรียกตั้งแต่ตีห้าหกโมงนะ 11 โมงจิ๋มขอกลับมารับจ๊อบ ซึ่งพี่ต้อยก็น่ารักมากๆ 11 ล้านนอกจากธุรกิจที่มันแย่แล้ว หน้าเรายังเหี่ยวไปด้วย (หัวเราะ) แต่เราอยากให้ลูกมีความสุข เราจะล้มยังไงก็ตาม เราต้องมีรอยยิ้มให้ลูก เราต้องมีกินมีใช้ เรียกว่าทำทุกอย่าง ร้านก๋วยเตี๋ยวก็ทำ สามีเฝ้าร้านก๋วยเตี๋ยว ตัวเองก็ไปแต่งหน้าที่อาบอบนวด แล้วก็ไปกองถ่าย ชีวิตจะวนอยู่อย่างนั้นประมาณ 2-3 ปี
มองวิกฤติว่าเป็นโอกาส
ตอนที่ล้มละลาย เชื่อไหมคะว่ามันเป็นวิกฤติที่มีโอกาส เราได้ทานข้าวพร้อมกันพ่อแม่ลูก ตอนที่สามียังทำธุรกิจอยู่ เราแทบจะไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน กลับกลายเป็นว่าช่วงนั้นเราเจอหน้ากันทุกวัน มีความสุข ตอนที่เป็นนักแสดงแรกๆ เราได้ฟังคนพูดว่าเอาเงินไปเข้าแบงก์ แล้วมันจะมีดอก เงินก้อนจะอยู่ในแบงก์ไปเลย แต่จะมีดอกมา ดังนั้นเขาจะเรียกเงินก้อนนี้ว่าทรัพย์สิน แต่ถ้าเอาเงินมาใช้ มันก็จะเป็นเงินเฉยๆ มันไม่ใช่ทรัพย์สิน เราก็ย้อนกลับไป เพราะว่าตอนที่เราเป็นนักแสดง เราก็ตั้งใจว่าเราจะเก็บเงิน แต่ช่วงที่เราเก็บจริงๆ ดอกเหลือแค่บาทเดียวมันไม่ใช่ 5 บาทแล้ว ทุกอย่างก็เลยตันก็คิดว่าจะสร้างทรัพย์สินยังไง โชคดีที่ทางยูนิลีเวอร์เขาเปิดโปรเจกท์นี้ แล้วเด็กที่อาบอบนวดเขามาเล่าให้ฟัง เราก็เลยเข้ามาคุยเข้ามาศึกษาใช้เวลาเรียน 7 วันก็ขึ้นตำแหน่งแรก รับรายได้7,000 บาท ทำ 3 เดือนได้ไปเที่ยวฮ่องกงฟรี (ยิ้ม) แล้วไปเจอทีมงานของเจเอสแอล เขาก็งง ว่าเราล้มละลายแล้วมาต่างประเทศได้ยังไง ก็คือยูนิลีเวอร์เขาการันตีเราหลังจากนั้นก็เลยได้ไปออกรายการเจาะใจ และหลายรายการว่าเราล้มละลายแล้วทำไมยังยืนหยัดอยู่ ซึ่งเราก็บอกหลายๆ รายการว่า แม่สอนว่าไม่มีอะไรให้แก นอกจากความดี จะทำอะไรต่างๆ ให้คิดว่าอันนั้นเป็นสิ่งดีความดีแล้วก็ลงมือทำ สมบัติก็ไม่มีให้
จากดารา สู่การเป็นช่างแต่งหน้า
สามีไม่ยอม ครั้งแรกตอนที่ไปแต่ง ตอนนั้น“พี่อ้วน รีเทิร์น” ทำร้านเสริมสวยอยู่ในนั้น แล้วพี่อ้วนก็ชวนไป จากที่เราแต่งหน้าไม่เป็น เขาก็ให้กะเทยแต่งให้นี่คือน้ำใจพี่อ้วนนะ คือเราบอกสามีว่าเราจะไป เขาก็ไม่ยอม เป็นดาราอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็หายไปประมาณเดือนนึง แล้วช่วงนั้นเราก็ค้นพบว่ามันมีเอกสารมาว่าเราล้มละลาย แต่สามีไม่ให้ไป แต่อยู่ๆ รถเทรลเลอร์เราก็ถูกยึดกลางทาง ดังนั้นมันก็ไม่ได้แล้วนะ ชีวิตยังต้องเดินต่อไปแล้วร้านก๋วยเตี๋ยวมันขายได้ช่วงเดียว คือเช้าถึงบ่าย 2-3 เลยตัดสินใจไปหาพี่อ้วน และเพื่อนกะเทยอีกคนชื่อ“ป้ากี” ก็ช่วยสอน เครื่องสำอางก็ไปซื้อที่ประตูน้ำ ชิ้นละ 20 บาท หัดแต่งและฝึกที่บ้านโดยใช้สามี ลูก และคนงานเป็นหุ่น (หัวเราะ) ไปวันแรกพี่อ้วนก็ไปเรียกเด็กๆ มา ว่าแม่จิ๋มเป็นดารานะ แต่งหน้าดี แต่งไป 9 คน ได้มา 900 บาทดีใจมาก กลับมาบอกสามี ซึ่งเขาก็ไม่ได้พอใจนะ มาหัดแต่งหน้า เขาก็หน้าบึ้ง วันที่ 2 เหลือหน้าเดียว พี่อ้วนเลยให้ไปดูคนอื่นว่าเขาแต่งกันยังไง เราก็เรียนรู้จากเขา วันที่ 3 เพิ่มมา 5 คน หลังจากนั้นขึ้นหมดเลยสูงสุด 30 คนยืนจนขาบวม ไม่สนใจเลยว่าฉันเป็นดาราแล้วจะมาทำอย่างนี้ คือคนก็จำได้แหละว่านี่ดารา เราก็บอกเออเราล้มละลาย เป็นการล้มละลายที่เราไม่ได้สนใจ เราสนใจแค่ว่าลูกจะอยู่ยังไง แล้วเจ้าหนี้ก็ตามได้เลย เราไม่หนีแล้ว ก็จะบอกว่าเราไม่มีตังค์ให้ รถที่เราขับอยู่ก็จะถูกยึด เลยบอกเซลล์เขาว่าอย่าเพิ่งยึดนะ เพราะว่าจะต้องขับไปทำมาหากิน แต่พี่จะค่อยๆ ผ่อนให้ ถ้ามีก็จะให้ ทุกวันนี้หนี้สินก็หมดแล้ว เคลียร์หมดแล้ว สามีจัดการ ณ ตอนนั้นที่เราล้มก็จะมีคนในครอบครัวนี่แหละค่ะ มีพ่อ แม่ สามีที่เป็นที่ยึด ยังมีความสุขกัน อยู่กับครอบครัววันนี้เราก็แฮปปี้ดี ลูกชายคนโตอายุ 35 เป็นรองผู้กำกับ ส่วนลูกสาวอายุ 20 เรียนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ปี 2
ย้อนวันวานการมาเป็นนักแสดง
หลังจากที่เลิกกับสามีคนแรกแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ลูกอยู่กับแม่สามี เราก็อยากเอาลูกมาอยู่ด้วย แต่ว่าเราจะต้องมีหลักมีฐานมีการมีงาน เราต้องสร้างเนื้อสร้างตัว เราไม่ใช่เอาลูกมาลำบาก ก็เลยคิดว่าจะทำอะไรดี ก่อนหน้านี้ เราก็เรียนรามฯ แล้วก็เลี้ยงลูกขายของเล็กๆ น้อยๆ เพราะว่าแต่งงานแล้วสามีก็ไม่ยอมให้ทำงาน แล้วพอมีปัญหาคือเราอยากเลิกกับเขาเอง เขาไม่ได้อยากจะเลิกกับเราหรอก แม่สามีก็ดีกับเรามาก แต่เรารู้สึกว่าไม่เอา ก็ไปซื้อของผ่อน เอาผ้ามาขายผ่อน คือทำทุกอย่างที่รู้ว่าเราจะได้เงิน เพื่อที่จะเอาลูกมาอยู่ด้วย แล้วก็ไปอ่านหนังสือพิมพ์เจอว่า “ครูเล็ก-ภัทราวดี” เปิดโรงเรียนสอนการแสดงแล้วให้เรียนฟรี เราก็เขียนจดหมายไป และได้รับการคัดเลือก ก็ไปแคสอีกทีกับครูเล็ก ซึ่งภูมิใจมากเลยเพราะครูเล็กบอกว่าทำไมเมื่อวานไม่เอาเราไปเล่น ทีมงานก็บอกว่าเราเพิ่งมาแคสวันนี้ หลังจากนั้นก็ผ่านและได้เรียนกับครูเล็ก
จินตนาการนำพา
คงเป็นเพราะว่าเราเป็นคนมีจินตนาการ ชีวิตเราคอยคิดตลอดว่าเราจะไปยังไง ครูเล็กจะบอกว่าระหว่างทางกลับบ้านให้ดูนะว่าพรุ่งนี้เราจะแสดงอะไร ต่างคนก็คุยกันไป ก็ไม่ได้ดู พอถึงวันเราก็ลืม รุ่งเช้าก็เลยมองหาว่าเราจะแสดงอะไรก็มีป้าคนนึงกำลังจะขึ้นรถเมล์ เราก็เล่นแบบป้าคนนี้แหละ ฉะนั้นเราก็เลยเป็นคนที่เล่นบทคนแก่ได้ดี เพราะเราเริ่มต้นจากบทนี้ แล้วครูเล็กก็ไม่บอกว่าอีกหน่อยพวกนี้มันจะเป็นฐานของเรา คนอื่นเขาก็ไปเล่นเป็นสาว แต่ของเราจะใช้พลังเยอะมากพอไปแสดงอะไรก็มีแต่คนบอกว่าลดลงหน่อย (หัวเราะ) โอเว่อร์ไป แม้แต่คุยปกติก็ยังโอเวอร์ เพราะว่าเป็นคนคุยสนุกเฮฮา
การเป็นนักแสดงที่ได้มากกว่าแสดง
ถ้าถามว่าชอบการแสดงไหม จิ๋มชอบเบื้องหลังที่เราได้อยู่กับเพื่อนมากกว่าค่ะ สรุปแล้วเราเป็นคนที่ชอบคุยชอบสนุก ไม่ได้รู้สึกว่าการแสดงมันจะโอ้โห! คือเวลาเราอยู่บ้าน เราก็เป็นลูก พอมาตรงนี้คุณก็เป็นนักข่าวมันก็เป็นบทบาท ทุกคนในชีวิตมีบทบาทหมดเลย ฉะนั้นก็แค่เปลี่ยนบทบาท พอบอกว่าวันนี้เล่นเป็นแมวนะ เราก็แค่ไปดูว่าแมวเป็นยังไง แล้วเราก็ก๊อปปี้แมวลงไป แต่ข้างหลังที่เราได้เจอผู้คนเรามีความสุข ได้อยู่ได้เจอกับคนนั้นคนนี้ การที่เราได้เปลี่ยนบทบาทไปเรื่อยๆ เราก็มีความสุข
จริงจังและทุ่มเทกับทุกบทบาท
เราเข้ามาเป็นนักแสดงตอนนั้นอายุประมาณ 26 แล้วนะ เริ่มจากการเป็นตัวประกอบได้ค่าตัววันละ 130 โมเดลลิ่งหัก 20 บาท เราก็แสดงเรื่อยให้ไปไหนก็ไป เริ่มจากครูเล็กส่งไปเดินในเรื่อง “ดีแตก” นั่นคือจุดเริ่มต้นของจิ๋มค่ะ ไม่ได้มีบทบาทอะไร แต่พอเขาเห็นว่าเราพูดบทได้ เขาก็เรียกเราเรื่อยๆ ตอนนั้นเราอยู่ในโมเดลลิ่งของครูเล็ก เพื่อนเราก็จะคอยส่งเราไปนู่นไปนี่ เริ่มจากไนท์สปอต ครูเล็กก็เริ่มทำละคร เราเลยได้แสดงมากขึ้น แล้วไนท์สปอตก็ให้เราไปแสดงด้วย หลังจากนั้นเพื่อนก็ได้ส่งเราไปที่สยามสตูดิโอแคสโฆษณายาสีฟันใกล้ชิด “เหมียว-ชไมพร” เป็นตัวเอกที่จับเข็มนาฬิกาแล้วห้อยมาเราเป็นคนที่เห็นเขาแล้วตกใจล้มตึง ซึ่งบทนี้เราก็ไม่รู้ความสำคัญ คนที่แคสเขาก็ไม่ล้มกัน แต่เราเป็นคนที่เต็มที่ก็ล้มตึงเลย เขาก็ถูกใจ เอาเราเล่นทันที ล้มไม่รู้กี่พันเทค กลับถึงบ้านคอแข็งเลย และตั้งแต่นั้นสยามสตูก็จองจิ๋มเป็นนักแสดงตัวประกอบ หรือตัวเอก ก็แล้วแต่ มาเถอะมีทุกวัน ระหว่างนั้นครูเล็กก็ทำละครเวทีเรื่อง “เก็บดวงใหม่ในสายฟ้า” ซึ่งเราก็ทำเสื้อผ้าให้ครูเล็ก เป็นแบล็คสเตจอยู่ข้างหลัง และร่วมแสดงด้วย รับเหมาหมดเลย ช่วงแรกของชีวิตเราจะต้องรับได้ทุกอย่างแล้วหลังจากนั้นเราค่อยมากรองว่าเส้นทางไหนที่เราจะไป รีดผ้ากองถ่ายก็ทำ เพื่อเงินค่ะ เลยทำให้เราทำได้ จนพอเรามีชื่อเสียง เราก็ออกรถ ทำร้าน ทำให้ทางครอบครัวอดีตสามีเขาไว้ใจเรา และยอมให้เราพาลูกมาเที่ยว
สู่ละครเวทีและละครทีวีอย่างเต็มบทบาท
สยามสตูทำให้เรามีโฆษณาเยอะ คนรู้จัก แล้วเราก็ไปเล่นละครเวทีเป็นลูกศิษย์ของ “พี่หนุ่ย” ซึ่งเขาทำอีเวนท์และทำละครเวทีให้ “อาจารย์เสรี วงษ์มณฑา”เราก็ได้เล่นละครเวทีปิดวิกที่มณเฑียร เรียกว่าปีหนึ่งมีทุกเรื่องทำให้เราได้เกิดในละครเวที เราอยู่กับครูเล็ก ทำให้เกิดไปหลายด้านมากๆ และเราก็มีงานละครสั้นและได้เจอผู้กำกับของกันตนา คือ “พี่แดงซ่า” ซึ่งตอนนี้เสียไปแล้ว เขาก็ชวนให้ไปเล่นของกันตนา แต่ไม่รู้ว่าเขาจะเรียกเมื่อไหร่นะ ก็ไปเล่นละครเวทีต่อเรื่อง “นังเหมียวย้อมสี” แล้วทางทีมกันตนา “คุณตุ๊กตา” เขาก็มาดูพอดี อีกสองวันพี่แดงก็โทร.มาว่ากันตนาเรียกมาเล่นละครนะ มาได้ไหมที่สุพรรณ ไปถึงก็เจอ “ก้อย-ศิรินุช, ดุ๊ก-ภาณุเดช” ซึ่งเล่นนังเหมียวย้อมสี (ยิ้ม) แล้วพี่แดงคัดออกมาไปเล่นละครเรื่อง “สุสานคนเป็น” เราได้เล่นเป็นน้าของ “เหมียว-ชไมพร” ตัวสำคัญของเรื่องด้วย เรียกว่าเข้าไปถึงคือได้รับบทดีเลย เป็นเพราะว่าเราแสดงละครเวทีที่มันโอเวอร์แอ๊กติ้ง ไปถึงเขาก็ต้องกดลง หลังจากนั้นละครของกันตนาก็จะมีเข้ามาจนเขาล้อกันว่าเป็นเด็ก “คุณแดง-สุรางค์” (หัวเราะ) เพราะว่าเรารับเงินจากคุณแดง แล้วเรื่องไหนที่พี่แดงกำกับก็จะมีเรา ความภาคภูมิใจของตัวเองก็คือผู้ใหญ่ให้โอกาสเยอะมาก แม้กระทั่ง “อาหลวย” (ฉลวย ศรีรัตนา) หรือ “พี่โอ๋-ฐาปกรณ์”
ค่อยๆ เฟสตัวออกจากวงการ
จิ๋มเล่นละครอยู่ร่วม 10 ปีค่ะ พอแต่งงานกับสามีคนปัจจุบัน ก็มีคนไปตีข่าวว่าเราเลิกเล่นละครแล้ว เพราะมีสามีรวย มันมาประจวบเหมาะกับที่ว่าเราท้องแล้วแท้งถึง 2 ท้อง พอท้องที่ 3 เลือดก็ออกอีก ก็เลยต้องงดรับงานหมดเลย พอกลับมาผู้จัดเขาก็ไปเอาคนชื่อจิ๋มเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ “จิ๋ม-ศิริวรรณ เฮง” มันก็ทำให้เราชื่อเสียงเสียว่าเรารับงานแล้วไม่มา เลยต้องเอาจิ๋มอื่นเสียบ ทั้งที่เราไม่รู้เรื่องเลย ก็เลยรู้สึกว่าวงการแสดงมันไม่ใช่ไม่ดี แต่คนที่อยู่ เรายังมีมือยังมีสมองทำไมเราจะต้องมายึดกับการแสดง เพราะว่ามันก็จะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาไม่วันหนึ่งวันใดเราก็ต้องถอยหลัง ฉะนั้นเราก็ต้องไปเริ่มที่อื่นจะเสียเวลาทำไม ก็เริ่มตั้งแต่วันนี้ ก็เริ่มทำที่ยูนิลีเวอร์เลย งานแสดงมีประปรายแต่พอมองเห็นโอกาสว่าที่นี่จะสามารถทำให้เราสร้างแฟรนไชส์ได้ก็เลยลุย และเริ่มถอยงานแสดง จนผู้ใหญ่มองว่าเรางอนอะไร ไม่ได้งอนนะคะ คือลูกเราก็เริ่มโตทุกอย่างมันต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น แล้วเวลาผู้จัดเขาเลือกได้ แต่เราไม่สามารถเลือกได้บางเรื่องเราจองนะ แต่พอเปิดกล้องแล้วไม่มีเรา ก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ก็เลยบอกทุกคนไปเลยว่าจิ๋มเลิกรับงาน ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเอ็กเซ็กคูทีฟ และเป็นที่ปรึกษาด้วยค่ะ
ตัวตนที่พร้อมเปิด
เป็นคนที่ร่าเริงสดใสและชอบแต่งตัว เดิมตอนที่เป็นนักแสดงจะนุ่งกางเกงขาก๊วย เสื้อกล้าม แล้วหน้าตาก็ไม่แต่งคือเอาศพไปกองถ่ายเดี๋ยวเขาแต่งให้เอง เราก็เลยแต่งตัวไม่ค่อยเป็น แต่แล้ววันนึงวันที่มาแต่งงานกับสามีแล้วพี่สาวเขาแนะนำให้เราดูแลตัวเอง ก็เลยเริ่มแต่งตัวแต่งหน้า เริ่มรู้สึกว่าเรามีตัวตนนะทำไมไม่สร้างตัวตนออกมา ด้วยความที่เราปฏิบัติธรรมเลยค้นพบว่าอยากทำอะไรให้รีบทำ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ผมมันหงอกเราก็ทำสีเขียวสีฟ้า (ยิ้ม) เต็มที่กับการแต่งตัวลูกๆ ก็ไม่ว่าอะไร เขารู้แค่ว่าเขาได้แม่ที่ดีขึ้นจากการปฏิบัติธรรม เวลามีอะไรเขาก็จะมาปรึกษาแม่ กล้าเปิดใจคุยกัน
วันนี้ที่แข็งแกร่งขึ้น
จิ๋มเชื่อว่าวันทุกวันมันจะมีเหตุการณ์เข้ามาเสมอ ถ้าเราคิดว่ามันเป็นปัญหา เราก็จะแย่ แต่ถ้าเราคิดว่าเมื่อเรามีอย่างนี้เราจะไปไหนดีก็แค่นั้น ไม่มีอะไรหนักหนาเท่ากับตัวเราแล้ว หนี้11 ล้านมันก็คือ 11ล้าน แต่ตัวเราจะไปไหน 11 ล้านกับหนึ่งพันมันก็คือหนี้ แต่บางคนมีหนี้พันเดียว ยังไม่พัฒนาตัวเองว่าจะทำยังไง พันนึงแล้วก็มานั่งบ่นจนกลายเป็นหมื่น ไม่คิดว่าจะทำอะไรต่อ เพื่อไปข้างหน้า ยูนิลีเวอร์เขาให้จิ๋มวางไว้เลยว่าอีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้ารวมทั้งให้เรากำหนดวันตาย เราไปเข้าสัมมนา แล้วเขาก็ถามว่าอยากตายตอนอายุเท่าไหร่ เราก็กำหนดไว้ว่า 120 ปี (หัวเราะ) ตอนนี้ 62 แล้ว และทุกวันนี้จิ๋มก็ดำเนินตามที่เขียนไว้ ซึ่งจะทำยังไงให้อยู่ได้ถึง 120 ปี ก็คือเราต้องนอนเป็นเวลา กินอาหารที่ดี ออกกำลังกาย แล้วก็ไม่เครียด เช้าตื่นขึ้นมาจิ๋มก็จะสวดมนต์ปฏิบัติธรรม แล้วก็นั่งคิดว่าขอบคุณจังเลย พ่อแม่ที่ให้เราได้เกิดมา ขอบคุณที่มีคนรู้จักทั้งคนดีคนไม่ดีที่ทำให้เราเลือกใช้ชีวิต คนไม่ดีเราก็ต้องขอบคุณเขา ขอบคุณอากาศ ขอบคุณรองเท้า ขอบคุณชุด ขอบคุณที่นอน คำขอบคุณทำให้จิตใจเราเบิกบานทำให้เราเข้าใจชีวิตว่าเราจะอยู่ด้วยตัวเองได้ยังไง
ความในใจถึงแฟนๆ
ถ้าแฟนๆ อยากจะชมผลงานการแสดงของจิ๋มคงจะยากหน่อย เพราะว่าไม่ได้รับแล้ว แต่มาเจอกันตามงานสัมมนาธุรกิจหรือว่าเจอในสถานปฏิบัติธรรม ก็เข้ามาทักทายกันได้ ทุกเดือนจิ๋มจะไปที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก จัดงานให้ทหารกับ “พี่ต้น-สุชาติ” หรือเข้ามาในเฟซบุ๊ค “โค้ช สอนรวย” เวลามีงานกิจกรรมจิ๋มก็จะเป็นพิธีกร และคอนเฟิร์มว่ายังสนุกเหมือนเดิม เป็นคนปฏิบัติธรรมที่ตัวแข็งเดินตาขวาง (ยิ้ม) เราปฏิบัติธรรมแล้วเราได้เห็นว่าวันแต่ละวันของเรามันมีค่ามากๆ
และนี่ก็ “จิ๋ม-ศิริวรรณ เฮง”อดีตนักแสดงมากฝีมือ ผู้ที่ไม่เคยท้อต่อชะตาชีวิตแม้จะพบกับวิกฤติที่หนักอึ้ง
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี