เป็นนักแสดงที่ทุกคนคุ้นหน้า จากหลากหลายบทบาทที่ถ่ายทอดออกมาด้วยฝีมือและความทุ่มเท วันนี้ชื่อของ “หยา-จรรยา ธนาสว่างกุล” กลายเป็นที่รู้จักของคนดูมากขึ้น แต่กว่าจะมาถึงวันนี้เธอต้องข้ามผ่านอะไรมาบ้าง“ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ไม่รอช้า ขอตามไปถึงเรือนบุพเพสันนิวาส เพื่อล้วงชีวิตของ “พี่ผิน” มาฝากทุกท่านกัน
“ตอนนี้ไปไหนมาไหนคนจะเรียกพี่ผินกันหมดไปสอนหนังสือนักศึกษาก็ตะโกนเรียกพี่ผิน พี่ผินใช่ไหม ก็จะได้รับคำชมว่าดูแล้วร้องไห้ตาม รู้สึกว่าน่าสงสารเหลือเกิน ทำไมถึงรักเจ้านายขนาดนี้ ทำยังไงน้ำตาถึงออกมาไม่ขาดสาย คือเขาไม่เคยเห็น เพราะที่ผ่านมาเราก็จะเล่นอะไรที่มันตลกๆ เป็นตัวรับตัวชงหรือเป็นเพื่อนบ้านแม่ค้าในตลาดที่ขี้เม้าท์ เรื่องนี้ถือว่าตั้งแต่เล่นละครมาเกือบจะ 20 ปี เป็นบทที่ได้ใช้ฝีมือในการแสดงอย่างลึกซึ้ง จากความรู้ จากทักษะทั้งในวงการละครทีวี. และจากประสบการณ์ในการทำงานละครทีวี.ทั้งหมด”
กับบทบาทการเป็นครูสอนการแสดง
ในวงการละครทีวี.ก็จะมีแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่รู้ว่าหยาเป็นครูสอนการแสดง อย่างที่บรอดคาซท์หยาก็ได้เป็นครูสอนแอ๊กติ้งให้กับแก๊งน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ได้สอน “จ้อย” (โมสต์-วิศรุต) ด้วยค่ะ คือ “พี่หน่อง” (อรุโณชา ภาณุพันธุ์) ให้ไปสอน ผู้ใหญ่ทางบรอดคาซท์ค่อนข้างไว้ใจที่จะให้ดูแลตรงนี้ จริงๆ ลูกศิษย์คนแรกเลยคือ “ซูซี่-สุษิรา” ก็ประกบเลยหน้าเซต ดูทุกประโยคตีความ เพราะว่าซูซี่เขาเป็นลูกครึ่ง แล้วก็อยู่ในสังคมที่เป็นฝรั่ง ดูแลทั้งการแสดง ดูแลทั้งความรู้สึก อยู่กับน้องตลอด 2 เรื่อง เพลิงสีรุ้ง, เรือนหอรอเฮี้ยน หลังจากนั้นก็มาเรื่อง บ่วง ได้โจทย์มาคือ “เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา” เราก็งงว่าใครนะ พี่หน่องก็ให้ทางทีมส่งเทปมาให้เราดูก็ตกใจ นี่เราต้องเจอเบอร์นี้เลยเหรอเนี่ย โจทย์ยากจริงๆ ก็โอเคนัดเวิร์กช็อปกันครั้งเดียวเองมั้ง ทุบเข้าจุดปุ๊บมาเร็วเข้าใจและเก็ตเร็วมาก น้องมีศักยภาพ น้องมีของ เพียงแต่ว่าน้องยังเอามาใช้ไม่เป็น จนพอเราเข้าไปอยู่ในกระบวนการ เข้าไปค้นหา จนระหว่างการถ่ายทำเราก็ประกบด้วย แต่หยาเป็นแอ๊กติ้งโค้ชที่จะพัฒนาผู้เรียนให้เขายืนได้ด้วยตัวเอง โดยที่เราค่อยๆ ถอยออกมา ให้เขาอยู่กับผู้กำกับ อยู่กับทีมงานมากขึ้น ไม่งั้นเขาจะอยู่บนโลกนี้ไม่ได้ ถ้าเขาคิดจะพึ่งแต่แอ๊กติ้งโค้ช แล้วเขาไม่คิดที่จะพึ่งตัวเขาเอง นั่นคือสิ่งที่หยาสอน บางคนเขาก็มองว่าเหมือนเราอู้ แต่ไม่ใช่นะ เราไม่อยากไปอธิบายให้ใครฟังว่านี่คือกระบวนการของเรา แล้วดูทุกวันนี้สิคะ เอสเธอร์ (ยิ้ม) นอกจากนี้ก็มี “นนท์-ภูดิศ” “รอน-ภัทรภณ”
เส้นทางกว่าจะมาถึงวันนี้
หยาเรียนการแสดงมา จบจากภาควิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จุดเริ่มต้นคือเกิดความสนใจในช่วงมัธยม อยากรู้ว่าสิ่งที่เราชอบมันจะมีสาขาหรือวิชาอะไรที่สามารถตอบสนองเราได้ไหม ก็ค้นหาจนเจอ และเลือกเอ็นทรานซ์ติดที่นี่ ซึ่งเราก็เอามาใช้ในการแสดงละครเวที ตอนนั้นมีแสดงละครเวทีของมหา’ลัย ของรุ่นพี่ที่ไปตั้งคณะละครข้างนอก แล้วตัวเราเองก็มาทำละครเวทีเล็กๆ จนมีรุ่นพี่ชวนให้ไปสมัครงานเป็นเพื่อน ก็ได้ทำตำแหน่งแคสติ้ง ที่บริษัทบิ๊กบลู โปรดักชัน ทำอยู่ 3 ปีก็ทำได้ค่ะ แต่ถามว่าดีไหม เราก็ไม่กล้าตอบเนอะ คือใจเราไม่อินกับงานแคสติ้ง สุดท้ายก็กระโดดกลับไปเล่นละครเวทีเหมือนเดิม โหย! มีความสุข มันคือเรา อย่าหนีมันไปเลย แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้หรอกค่ะ ว่าการที่กระโดดกลับเข้าไปสู่ละครเวทีแล้วเราจะทำมาหากินอะไร ก็ปรากฏว่าการตัดสินใจกลับไปเล่นละครเวทีครั้งนั้น ก็กลายเป็นว่ามีทีมเขียนบทของ “อาบัณฑิต ฤทธิ์ถกล” เป็นรุ่นพี่ของหยาในกลุ่มละครเสาสูง เขามาดู และได้เห็นการแสดงเรา เกิดชอบและเอาเราไปเล่นเป็นคนใช้ในละครเรื่องนางสาวโพระดก “พลอย-เฌอมาลย์” เล่นเป็นนางเอก ก็ดีใจมาก เป็นละครเรื่องแรกตอนนั้นอายุ 27 ผมซอยสั้นทำสีทองแล้วผอมกว่านี้เยอะมาก ใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ ไปถึงกองก็สวัสดีทีมงาน แล้วก็บอกว่ามาถ่ายละคร เขาถามว่ามาเล่นเป็นเพื่อนพลอยเหรอ เราก็บอกว่าไม่ใช่ค่ะ เขาให้มาเล่นเป็นเพื่อนของ “พี่สุพรรษา เนื่องภิรมย์” ทุกคนก็ตกใจว่าทำไมวันนั้นมันไม่ใช่ลุคแบบนี้แต่ยังไงเขาก็จะให้เล่น ก็เลยต้องใส่วิกและเขียนริ้วรอย เพื่อให้ดูเป็นรุ่นเดียวกับพี่สุพรรษา(หัวเราะ) หลังจากนั้นพออาบัณฑิตไปทำหนัง ชื่อชอบชวนหาเรื่อง ที่มีนักแสดงรุ่นใหญ่เล่นเยอะมาก เราก็ได้มีโอกาสรับเชิญไปเล่นเป็นเป็นภรรยาของ “พี่กิ๊ก” (เกียรติ กิจเจริญ) เป็นบทที่โตกว่าตัวเองอีก และช่วงนั้นก็ได้งานโฆษณาด้วย ทำงานโฆษณามาไม่เคยได้เล่นโฆษณาเลย แต่พอออกจากบริษัทโฆษณา กลับได้งานโฆษณาเยอะมาก และที่สำคัญคือได้วัยที่แก่กว่าตัวเอง (ยิ้ม)
เปิดตัวด้วยบทที่โตกว่าตัวเอง
คือจะ ยีผมเป็นคุณนายหัวโตๆ เขาก็พยายามเอาคนในวัยนั้นมาแคสแล้ว แต่มันไม่ได้ ดังนั้นพอมีงานออกมาเราก็เลยจะได้รับบทที่มันแก่กว่าตัวจริงทุกเรื่อง ตอนแรกก็ประหลาดตัวเองนะ แต่ก็เอาล่ะ ถ้าเขาไว้ใจให้เราเล่นแล้ว ในเมื่อผู้กำกับมองว่ามันใช่ มันก็ต้องใช่ ก็ถือว่าเป็นการเข้ามาในวงการแบบเต็มตัวในฐานะนักแสดงโดยเฉพาะเรื่องที่ 3 หรือที่ 4 ที่ได้มาเล่นเรื่องปริศนาที่ “พี่คิง-สมจริง” เป็นผู้กำกับ ก็ได้เล่นเป็นครู หลังจากนั้นก็มีละครเข้ามาเรื่อยๆ คนเห็นคนจำภาพได้มาตลอดคาแร็กเตอร์จะเป็นอย่างที่บอก มาสายดุ แต่ตลก จนกระทั่งมีโอกาสได้ทำงานกับบรอดคาซท์ พี่หน่องให้มาเล่นเรื่อง มงกุฎดอกส้ม เล่นเป็น อาเง็ก เป็นคนใช้ของ “จอย-รินลณี”ก็อยู่ใน ดอกส้มสีทอง ด้วย คนจะจำอาเง็กได้เพราะว่าเราตามคุณนายที่ 2 ตลอด จะอยู่ในกระเสในตอนนั้นที่คนจดจำและพูดถึงตัวละคร แต่ยังไม่มีใครที่แบบเรียกชื่อเรา คนนี้พี่หยานะไม่มีใครรู้จัก
ยังคงโหยหาการแสดงละครเวที
เคยไปออกเกมโชว์ แล้วช่วงนึงเขาให้ดาราไปอยู่ในแคปซูล และให้คนทางบ้านเลือกเพื่อที่จะมาทำการแสดงด้วย เรารู้สึกว่าการที่ไปอยู่พื้นที่นั้น มันไม่ได้ให้เราเป็นตัวของตัวเองแล้วเรายังต้องแสดงเป็นใครก็ไม่รู้ รู้สึกว่าไม่ค่อยโอเค เลยปฏิเสธการออกเกมโชว์ทั้งหมด และเอาเวลาที่มีไปให้กับละครเวที เพราะเป็นพื้นที่ที่เราสบายใจสุด แต่ ณ ตอนนั้นเรายังเด็กนะ ยังเป็นตัวเล็กๆ เราก็รู้สึกว่าไม่กล้าที่จะต่อรองกับทีมงาน ว่าเราได้แค่อาทิตย์ละวันนะ ที่เหลือเราจะเอาไปซ้อมละครเวที ทุกวันนี้ก็ยังเกรงใจอยู่นะคะ ทุกปีเราจะเล่นละครเวทีให้ได้ปีละเรื่องเพื่อเติมจิตวิญญาณ ถ้าเราไม่ไปเติมอะไรที่มันเป็นพลังของจิตวิญญาณ เราก็ไม่รู้ว่าวันนึงเราจะเป็นยังไง กับการที่เราไม่ได้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ ช่วงนี้ก็เริ่มมีคนชวนให้ไปเล่นละครเวทีมากขึ้น บางปีมีถึง 3 เรื่อง ปีนี้กำลังจะมีเรื่องที่ 5 หยาเป็นสมาชิกเครือข่ายละครเวทีกรุงเทพ ซึ่งจัดทำละครเวที เราจะมีพื้นที่เป็นโรงละครเล็กๆ ในกรุงเทพฯซึ่งมีอยู่หลายที่ทำการแสดง ใน 1 ปีเราจะมีมหกรรมรวมคนทำละคร เพื่อที่จะมาใช้พื้นที่นี้ทำการแสดงค้นหาหรือว่าได้เห็นงานสร้างสรรค์ต่างๆ
อาชีพและจิตวิญญาณ
เราก็เล่นละครเวทีอยู่เรื่อยๆ คือถือว่าเป็นอาชีพสำหรับเรานะ เพราะเราไม่มีอาชีพอื่น แต่ตอนแรกก็ไม่คิดว่าละครเวทีของเรามันจะต่อยอดมาสู่ละครทีวี.ได้ เพราะว่าถ้าคิดคงไปนั่งตรงบันไดห้างเพื่อที่ให้ “พี่พชร์ อานนท์” เห็น (หัวเราะ) คือชีวิตรู้อยู่แล้วว่าคงจะไม่มีทางที่ใครจะมามองแน่นอน เราคิดว่าเราจะทำงานละครเวทีและทำงานอยู่เบื้องหลัง คิดแค่นี้จริงๆ แต่ปรากฏว่าเข้ามาเฉยเลย แป๊บเดียว 20 ปีแล้วเหรอ อย่างที่บอกว่าตอนแรกเราก็จะเกรงใจผู้จัด เพราะว่าการทำงานมันต้องใช้ช่วงเวลา แต่ทีนี้พอถึงจุดที่เราต่อรองกับเขาได้ และเราตอบแทนด้วยวินัยการทำงานที่ดี ซึ่งสิ่งนี้ต้องขอขอบคุณ “มี้-พิศมัย” เคยคุยกับมี้ค่ะ ท่านบอกว่าที่ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงนี้ได้ มี้เชื่อในเรื่องของวินัยความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา ถ้าเรามีสิ่งนี้ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้โด่งดังแต่ผู้จัดจะนึกถึงเราตลอดเวลา เพราะเขาอยากทำงานกับคนที่มีปัญหาน้อยที่สุด พอสิ่งนี้เราทำมาเรื่อยๆ มันเลยเกิดอำนาจในการต่อรองเบาๆ ทุกวันนี้ละครเวทีก็ยังมีแสดงอยู่เรื่อยๆ จะไม่ทิ้งทั้ง 2 อย่างนี้ เพราะว่าอันนึงคืออาชีพอันนึงคือวิญญาณ
ในมุมของความรัก
เคยคิดว่าถ้าตอนที่ออดิชั่นเข้าภาควิชาการแสดงไม่ได้ ชีวิตนี้อาจจะแต่งงานมีลูกมีสามีไปแล้ว เป็นแม่บ้านหรืออาจจะเป็นพนักงานออฟฟิศ เป็นยายเพิ้งทำงานงกๆจริงก็มีคนเข้ามาในชีวิตนะคะ แต่มันใช้เวลากับความสัมพันธ์มากเกินไป พอมานั่งทบทวนกับช่วงเวลาที่เสียไปเสียดาย 2 คนประมาณ 15 ปี โห!เราเสียเวลา 15 ปีกับผู้ชาย 2 คน 15 ปีเราทำอะไรได้ตั้งเยอะ แล้วมันจบไปโดยที่เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เราเป็นด้วย หรือเขารู้สึกว่าเราไม่เหมาะกัน ด้วยเวลา ด้วยสไตล์การทำงาน ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไร เพื่อนทุกคนจะบอกว่าเราปิด แต่เราไม่ได้ปิด และเราไม่กระโดดเข้าหามัน ในวัยรุ่นทุกคนจะรู้สึกสายตาจับจ้องหาความรัก แต่ ณ ตอนนี้มันไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย มันมีแต่งาน มีแต่ครอบครัว คือคุณพ่อคุณแม่พี่น้อง ก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นไรการมีครอบครัวหรือไม่มีมันไม่ใช่สิ่งคาดหวังสำหรับเรา
มุมละมุนของพี่หยา
จริงๆ ที่บ้านเลี้ยงหมามา พอหมาตายไปหมด เราก็ไม่คิดว่าจะเลี้ยงอะไรอีก เพราะรู้สึกว่าการสูญเสียมันเจ็บปวด จนกระทั่งมีแมวแม่ลูกอ่อน ซึ่งคนที่คอนโดฯเรากำลังจะเอาไปทิ้ง เขาฝากเราไว้ที่ระเบียง ก็เลยจะเอาแม่แมวไปทำหมัน หาบ้านให้แมวทั้ง 4 ตัว พอทำหมันรับเขากลับมาบ้าน แม่แมวเขาเครียดมาก หัวขวิดกรงถลอกเยินน่าสงสารมาก เราก็เอามารักษาในห้องให้หายดีก่อน แล้วก็ค่อยว่ากัน แต่นั่นเหมือนเป็นแผนของแมว(ยิ้ม) เพราะหลังจากนั้นแม่แมวก็ไม่ได้ออกจากบ้านไปเลย คิดว่าจะหยุดแค่นั้น แต่เชื่อแล้วค่ะว่าเมื่อมีตัวที่ 1 ก็จะมีตัวต่อไปตามมา กลายเป็นทาสแมวไปแล้ว พยายามกระโดดตัวเองออกมา กลัวว่าจะหมกมุ่นกับแมวเกินไปจนลืมงาน หรือว่าเกินศักยภาพของตัวเอง เลยทำให้เข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ ตอนที่เราต้องมานั่งดูแลลูกแมวนี่แหละค่ะ ไม่ได้ดูแลตัวเองเลย แล้วดีที่มันเป็นจังหวะละครปิดกล้องพอดี เราก็โพสต์รูปกิจกรรมเราไปเรื่อยๆ พอทุกคนเห็น เขาก็ยื่นมือช่วยกัน ก็ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆ เยอะมากที่หลังไมค์มาเพื่อขอบริจาคเงินช่วย โดยที่เราไม่ได้ร้องขอ เงินเหล่านั้นก็มาซัพพอร์ตแม่แมวลูกแมวทั้งหมดได้โดยที่เราก็ออกด้วยส่วนหนึ่ง ไม่ได้เจ็บตัวมากเกินไป จนพวกเขาหายดี และหาบ้านให้เขาอยู่ได้แล้ว ตอนนี้ก็เหลืออยู่ 2 ตัว กำลังเตรียมหาบ้านให้เหมือนกัน อยากให้เขาเจอคนที่มีเวลาให้กับเขา กอดเขา จะsensitiveกับแมวมาก เคยพาไปหาหมอแล้วร้องไห้ยืนดูเขา (น้ำตาคลอ) ถ้าเขามาตายในมือเรา เราคงรู้สึกแย่
จอมขโมยซีน
เขาชอบพูดว่าเราขโมยซีน เราไม่ได้ขโมยนะ เราทำหน้าที่ของเรา แต่คนที่เล่นกับเรา เขาทำหน้าที่ดีแล้วหรือยัง เพราะฉะนั้นทำไมเราต้องเล่นให้น้อยกว่าเขาละ เพื่อให้เขาเท่าเราทำไมเขาไม่เล่นให้เขาเท่าเราบ้าง ถ้าสายละครเวทีเขามาดูงานเราเขาก็จะบอกว่าอิ่มนะเนี่ย เขาพูดถึงเรื่องบุพเพฯ เขาก็บอกว่าดูพี่หยาเล่นแล้วอิ่ม เราก็ถามว่าอิ่มอะไร เขาก็บอกว่าคือกินเรียบเลย คำว่ากินเรียบของละครเวทีคือทุกเม็ดทุกช็อตเก็บหมดรายละเอียดแม้จะไม่ได้พูด เราก็มีตัวตนอยู่ในฉากนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พยายามสอนเด็กที่เป็นนักศึกษา คือตอนนี้สอนเป็นอาจารย์พิเศษประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยหอการค้า สอนเกี่ยวกับทักษะการแสดง (เข้าสู่แวดวงการสอนมาประมาณ 6 ปี แล้วค่ะ สอนที่ ม.กรุงเทพ ก่อน แล้วก็หลังจากนั้นก็มาที่หอการค้าเรื่อยๆ) คอยบอกเขา ไม่ใช่ว่าถึงที่ตัวเองเล่น แล้วเล่น อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีบทพูดเลยไม่เล่น แต่คุณอยู่ในซีนนะ คุณต้องมีตัวตน คุณต้องฟังต้องอยู่กับสถานการณ์ จะรีแอ๊กแบบไหนคุณต้องทำ ตั้งแต่ตอนซ้อมแล้ว ให้คนอื่นเขาเห็นไม่ใช่มาทำตอนเล่นจริงไม่งั้นมันอาจจะสร้างผลเสียกับคนอื่นได้ ดังนั้นเวลาแสดงทุกเรื่องทุกบทบาทหยาจะเต็มที่กับมัน จะมาว่าหยาขโมยซีนไม่ได้นะคะ
มุมมองของครอบครัว
ครอบครัวตอนแรกเราคิดมาตลอดว่าเขาจะไม่แฮปปี้ เพราะว่าอาชีพนี้ เขาเคยพูดถึงเรื่องเรียนสาขานี้ไว้ว่าต่อไปมันอาจจะเลี้ยงชีพไม่ได้ แล้วพอมันผ่านเวลาไป เราก็เล่นละครเวที เล่นละครทีวี. ให้เขาเห็น ด้วยความที่คุณพ่อเป็นผู้ชายปากหนัก เขาก็ไม่ชมต่อหน้า เราก็ไปเลียบๆ เคียงๆ ถามน้องชาย (น้ำตาคลอ) คือเวลาพ่อไปเจอเพื่อน เขาก็จะชม แต่พ่อไม่เคยเอาคำชมเพื่อนมาบอกเรา จะเล่าให้ที่บ้านฟัง น้องชายก็จะมาพูดให้ฟังบ้าง เนี่ยค่ะหยาเป็นคนsensitiveร้องไห้ (ยิ้ม) แต่ว่าพอมาถึง บุพเพสันนิวาส แล้วฟีทแบ๊กมันดีมาก เขาห่วงว่าเราพักผ่อนพอไหม ทำงานดึกถึงกี่โมง กินข้าวหรือยัง ถ้าเขารู้ว่าวันนี้เราจะกลับบ้าน เขาก็จะเตรียมอาหารที่เราชอบไว้ให้ ส่วนคุณแม่เขาก็จะเม้าท์กับญาติๆ หยาเองก็ปลื้มใจมาก ว่าเราอยู่ในฐานะที่ค่อนข้างโอเค ที่เราดูแลตัวเองได้นะในเรื่องการงานการเงิน แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมันพิสูจน์อะไรบางอย่างที่เป็นปมเล็กๆ ในใจ ที่เรากลัวว่าเราจะทำสิ่งนี้ให้เขาเห็นไม่ได้ การพิสูจน์ว่ามันโอเคนะ มันอยู่ได้แต่ฟีทแบ๊กที่เกิดขึ้นมันเกินอธิบาย ระยะเวลามันเป็นเครื่องพิสูจน์ กับครอบครัวที่เคยสงสัยค้างคาใจอะไรกับเราตอนนี้มันหมดไปนานแล้วค่ะ
จากใจ “พี่ผิน” ถึงออเจ้าทั้งหลาย
ต้องขอพูดถึงแฟนๆ บุพเพสันนิวาส เพราะว่าตอนนี้คือเข้ามาเยอะมาก ทุกคนขอแอดมาเพื่อที่จะชื่นชมทั้งทางไอจีเฟซบุ๊คและมาฟีทแบ๊กกับการทำงานของเรา คือใครก็ไม่รู้ มาจากทุกสารทิศ ยอดฟอลโล่พุ่งเลย ขอบคุณจริงๆ ที่เข้ามาบอกความรู้สึกให้เรารู้ ทุกคนชื่นชมแล้วก็ชอบในสิ่งที่เราทำที่เราใช้เวลาสร้างความเป็นผิน และ “นุ่น-รมิดา” สร้างความเป็นแย้ม สิ่งที่เราประคับประคองให้ตัวละครมันเกิดขึ้นมาได้อย่างแข็งแรง ขอบคุณที่รักผินและแย้มมากๆ เราก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง แต่เราเดินมาบนเส้นทางนี้กับบทบาทประมาณนี้มาตลอด เราก็ไม่รู้ว่าเรื่องหน้ามันจะเทียบเคียงได้เท่าบุพเพฯไหม แต่ทุกการทำงาน เราทำตามทิศทางของผู้กำกับเราจะไม่เลยเถิด เพราะฉะนั้นติดตามผลงานกันนะคะ ก็จะมีครบทุกรสค่ะ ทำเต็มที่ทุกบทบาทแน่นอน
ทุ่มเททั้งชีวิตและจิตวิญญาณ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้รับชม และนี่ก็อีกหนึ่งคนละคร “หยา-จรรยา ธนาสว่างกุล” หรือพี่ผินที่หลายคนกำลังหลงรัก
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี