จะเห็นว่าพักหลังพระเอกหล่อตลอดกาลพีท ทองเจือ นั้นหันไปหลงใหลกับการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจ พร้อมเปิดทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ เพื่อต่อยอดความชอบ จนไม่มีเวลามาเล่นละครให้แฟนๆ ได้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพีทก็ขอทุ่มเทรับงานแสดงอย่างเต็มที่อีกครั้ง โดยเจ้าตัวเผยว่าอยากทำเพื่อให้ลูกเห็นการทำงานจริงๆ และเป็นการสอนให้เขาเข้าสู่ถนนสายบันเทิงอย่างมีคุณภาพ วันนี้ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ขอพาไปเจาะลึกเบื้องหลังกลวิธีที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จและมีที่ยืนในสังคมอย่างภาคภูมิใจในแบบฉบับของ พีท ทองเจือ
จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิง
ผมเกิดที่อเมริกา และกลับมาตอนอายุ 6 ขวบ พอมาถึงก็เผอิญคุณลุงผมเป็นเพื่อนสนิทคุณพ่อของ คุณใหม่-ปิยะวงศ์ กรรณสูต มีสตูดิโอเวิร์กช็อป แกเป็นตากล้องและกำลังทำโฆษณาตัวหนึ่งให้บริษัทต่างประเทศ และเห็นเรา ก็เลยเรียกให้มาเล่นหนังโฆษณา พอเล่นก็ได้รับการตอบรับดี หลังจากนั้นก็มีโฆษณาอื่นๆ ตามมาเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มแสดงละครเรื่องแรก“ชายในฝัน” ช่อง 5 เป็นพระเอก แล้วก็มาเล่นซีรี่ส์“จ้อนกับแดง” และเล่นละครมาเรื่อยๆ ค่อยๆ โตขึ้นมาในกองถ่ายก็ว่าได้
วัยรุ่นไฟแรงรับงานเต็มที่
ถือว่าเป็นวัยรุ่นที่เป็นนักแสดงแบบฟูไทม์ แต่ก็เรียนหนังสือไปด้วย ทำควบคู่กันไป เป็นช่วงหัวเรี่ยวหัวต่อ ช่วงอายุ 12-13 ปี หลังจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ส่งกลับไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ไปเรียน 5 ปีไม่ได้กลับมาเลย ตอนนั้นก็คิดว่าเราหมดอายุการทำงานตรงนี้ไปแล้ว แต่ปรากฏว่ากลับมาเที่ยวช่วงอายุ 16-17 เป็นวัยรุ่นเต็มตัวจริงๆ แมกกาซีนก็สนใจให้เราถ่ายแบบถ่ายอะไรเยอะแยะไปหมด ก็จะมีช่วงหนึ่งที่บนแผงหนังสือมีหน้าเราขึ้นปกเกือบทุกเล่มเลย ตั้งแต่ เธอกับฉัน, เพื่อนเดินทาง, วัยน่ารัก ฯลฯ ก็จะมีงานเข้ามาตลอดใน 3 เดือนที่กลับมาช่วงโรงเรียนปิด ก็เหมือนเป็นการหารายได้พิเศษพอเปิดเทอมก็กลับไปเรียนต่อ แต่ก็ยังไปๆ มาๆ
เลือกตัดสินใจกลับมาเมืองไทย?
ตอนเรียนจบก็ทำงานเองอยู่ที่โน่น เป็นบาร์เทนเดอร์ อยู่ในบาร์ รายได้ดีมาก แล้วตอนที่กลับมาก็เพราะมาเยี่ยมคุณแม่ คืออยู่ที่โน่นมีบ้าน มีรถ เป็นของตัวเองหมดแล้ว แต่พอกลับมากลายเป็นว่าเป็นที่ต้องการของผู้จัด คนทำงานในวงการ ด้วยวัยที่กำลังเป็นหนุ่ม เราก็เลยตัดสินใจกลับมารับงาน โฆษณาที่เปรี้ยงเลยก็คือ เป๊ปซี่ แล้วก็มีภาพยนตร์ และเล่นละครเรื่องแรก “หนึ่งในทรวง” ช่อง 3 แล้วก็ดังมากประสบความสำเร็จ ละครก็เข้ามาเรื่อยๆ หลากหลายช่องมากขึ้น
เลือกแสดงในบทบาทที่แตกต่าง
การทำงานของผมก็ตั้งใจว่า งานจะต้องเป็นงานได้รางวัลนะ คือจะมีช่วงหนึ่งที่เป็นช่วงล่ารางวัลของเราซึ่งได้สมใจเกือบทุกรางวัล อย่างตอนที่จะตัดสินใจรับเล่นละครแต่ละเรื่องจะคิดเยอะ อย่างเช่น เรื่อง“เงาราหู” ช่อง 3 ของบรอดคาซท์ฯ ก็จะพิจารณาอยู่2-3 เดือน ผมจะเป็นคนที่ตัดสินใจยาก แต่ตัดสินใจนะไม่ใช่ไม่ตัดสินใจ แค่ขอดูบทดูอะไรก่อน ส่วนเรื่องเงินไม่ใช่ประเด็น แต่แค่ว่าสิ่งที่ผมตั้งเป้าคือมองหารางวัลมากกว่าก็เลยตั้งใจ จะบอกว่าเล่นละครเพื่อล่ารางวัลก็ไม่ผิด (หัวเราะ) เรื่อง “เงาราหู” ได้รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ดารานำชายดีเด่น หลังจากนั้นก็มี รางวัลเมขลา ผู้แสดงนำชายดีเด่น จากละคร “ซอสามสาย”แล้วก็เริ่มไปเล่นให้ช่อง 7 แล้วก็ได้อีกทีกับรางวัลเมขลา ผู้แสดงนำชายดีเด่น จากละคร “อังกอร์” เรามีเป้าหมาย อันไหนที่เรารู้ เราทุ่มเท เราทำงานเต็มที่ ทำงานหนัก วางแผนไว้ได้ ฉะนั้นสิ่งที่เราตั้งใจทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้ อย่างเรื่อง “ยุทธการปราบนางมาร” ที่ตัดสินใจรับเล่นก็เพราะว่าบทแบบนี้ที่ผ่านๆ มายังไม่เคยเล่นเป็นคนพิการ ก็เลยรู้สึกว่ามีอะไรที่ท้าทายดีครับ
ลุยงานเต็มสูบ
นิดหนึ่งครับ ถือว่าเป็นช่วงที่กลับมารับงานในวงการมากขึ้น อย่างตอนนี้ก็มีละครที่กำลังออนอยู่ของช่องวัน31 ส่วนที่ถ่ายทำอยู่ก็มีของช่อง 8 ช่อง 3 และ ช่อง GMM25 คือ ตอนนี้โปรแกรมแข่งรถต่างประเทศออกมาหมดแล้วไงครับ เราก็จะส่งตารางวันที่เราว่างให้ผู้จัดแต่ละคนดู ให้เขาเลือกลงคิวละครเรื่องนั้นๆ ช่วงนี้ก็เลยจะกลับมายุ่งๆ กับงานในวงการเพิ่มขึ้นนิดหนึ่งครับ (หัวเราะ) คือเมื่อก่อนทำงานเจ็ดวันเต็มทำอยู่เจ็ดวันเจ็ดปีกว่า
บทบาทการแสดงที่โหยหา
ส่วนมากบทบาทสไตล์ผมก็ต้องเป็นแอ๊กชั่น ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ และไหวอยู่แล้ว เพราะเราก็เป็นนักกีฬา เมื่อก่อนมีช่วงที่เล่นละครแอ๊กชั่นหมดเลยนะ ระย้า อังกอร์ ดาวคละดวง ที่เล่นบู๊หนักๆ แบบนี้คือเราชอบและไม่ชอบพูดบท จำบทไม่ค่อยได้(หัวเราะ) ก็จะอารมณ์ผู้ชายเน้นสนุกแล้วก็มันส์ แต่ตอนนี้ก็ยินดีรับทุกบทบาทครับ เพราะแม้ว่าเราจะผ่านบทบาทการแสดงมาเยอะแล้ว ทุกวันนี้ก็ต้องบอกเลยนะครับว่าก็ไม่มีบทไหนที่ง่าย ต้องใช้ความพยายามอยู่ไม่ได้บอกว่าเล่นเรื่องไหนก็ได้ เราก็ต้องมีผู้กำกับคอยช่วย
งานเบื้องหลังก็มองไว้?
สนใจนะ หลังจากแต่งงานใหม่ๆ ตอนนั้นก็บินไปทำหนังที่อเมริกา เป็นโปรดิวซ์ฯ ปัจจุบันก็มีคนรวบรวมโปรเจกท์หนังต่างๆ มาให้ดูอยู่ น่าสนใจนะและก็พิจารณาอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรมาก จริงๆ ก็มีโปรเจกท์ที่คิดๆ ไว้อยู่บ้างเหมือนกันแหละ (ยิ้ม)
วงการบันเทิงสอนการใช้ชีวิต
ผมเริ่มงานในวงการบันเทิงตั้งแต่ 6 ขวบกว่า ปีนี้อายุ 50 ปีแล้ว ก็ถือว่านานมากนะ วงการบันเทิงให้เราในเรื่องของความพอดี การบลาลานซ์ตัวเองผมแนะนำนักแสดงหรือผู้ที่จะเข้ามาในวงการในอนาคตหรือคนที่เพิ่งเข้ามาไม่นานว่า เราต้องบลาลานซ์ตัวเองให้ได้ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ร่วมกับคนในสังคม ให้เกียรติคนรอบตัวไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็แล้วแต่ ตรงนี้แหละที่จะทำให้คุณอยู่ได้ยาวนานมากๆ แล้วก็วินัยในการทำงาน เป็นนสิ่งที่อยู่ติดกับตัวเราแล้วก็เป็นยี่ห้อของตัวเรา เวลาที่คนทำงานหรือคนที่สร้างงานเขานึกถึงตัวเราขึ้นมา ฉะนั้นเรื่องวินัยการทำงานสำคัญมาก ไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่มีความตั้งใจและความพยายาม อดทน และอีกอย่าง ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นแค่ชั่วข้ามวันข้ามคืน แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมา คุณต้องเรียนรู้และรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วให้ได้ และต้องไม่หลงแสงสีเสียงที่เกิดขึ้น เพราะว่ามันจะกระทบที่ไม่ใช่แค่ตัวคุณเอง มันจะกระทบคนรอบๆ ตัวคุณ หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัว เมื่อเราคอนโทรลตัวเองไม่ได้
ไลฟ์สไตล์ที่ใช่กับสิ่งที่ชอบ
การแข่งรถ เป็นอะไรที่ผมทำมานานมากๆ ในช่วงปีนี้ก็เป็นนักแข่งอาชีพ อยู่ในสังกัดของ ปตท. แล้วก็จะมีสปอนเซอร์ต่างๆ ดูแลเรา ปีนี้ก็แข่งรุ่นโอเพ่น ก็คือ เป็นรุ่นที่รถแรงที่สุด รุ่นใหญ่ที่สุด เป้าหมายตอนนี้ก็คือแชมป์ ISUZU ONE MAKE RACE 2018ส่วนงานแสดงช่วงนี้ก็เรียกว่า คืนกำไรให้กับลูกค้ามากกว่านะครับ (หัวเราะร่วน) จะเลือกบทที่น่าสนใจ แต่จริงๆ อยากทำให้เป็นตัวอย่างให้กับลูกๆ เหมือนเวลาเรามาทำงานในกองถ่าย น้องก็มาด้วย มาดูว่าเราทำอะไรยังไงบ้าง เขาก็จะถามว่าแต่ละตำแหน่งทำงานยังไง หรือไปนั่งดูผู้กำกับแต่ละคนทำงาน นี่แหละผมว่าเป็นสิ่งที่ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ กลับมารับเล่นละครเพื่อสอนลูกเข้าสู่วงการอย่างมีคุณภาพ คือทำให้เขาเห็นการทำงานต่างๆ หรือเวลาอ่านบทก็จะให้น้องช่วยต่อบทให้เรา ก็จะสอนเขาไปด้วยว่าไม่ใช่การอ่านนะต้องใส่อารมณ์ลงไปด้วย ใส่มูดเข้าไป ถ้านึกไม่ออกก็ใช้เสียง ก็เหมือนสอนเขาไปด้วย ซึ่งผมก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะเข้ามาเต็มที่นะ อย่างน้อยก็ได้ลองดู แล้วแต่ละคนก็มีทางของเขา คือผมว่าการที่พ่อ-แม่ช่วยสนับสนุนให้ลูกๆ ตามหาฝันของตัวเองให้เร็วที่สุด เสียเวลาตอนนี้ยังดีกว่าเสียเวลาตอนโต
ผลักดันลูกๆ เข้าวงการ
ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้นะครับ แต่หลักๆ แล้วเขาก็ต้องเรียนหนังสือ ช่วงนี้ก็ต้องฝึกฝนหาชั่วโมงบิน หาประสบการณ์ไปเรื่อยๆ สิ่งที่เราสอนหรือฝึกเขาก็คือให้น้องได้เห็นทุกอย่างตามเหตุผล ตามความเป็นจริง และเลือกทำหรือไม่ทำ ตัดสินใจให้ถูกและให้เร็วที่สุด แล้วก็เตรียมความพร้อมที่จะอยู่ในสังคมในอนาคตให้ได้
ลงมือทำให้เห็น
น้องๆ ก็โตกันหมดแล้ว ลูกสาว 2 คน คือ น้องเซย่า กำลังจะอายุ 14 ปี น้องมิย่า 12 ปี และน้องโลเตอร์ ลูกชายคนสุดท้องอีก 1 คน กำลังจะ 10 ขวบ ครอบครัวเราจะเน้นอยู่ด้วยกัน สมมุติผมไปทำงาน เขาก็จะไปด้วย อยู่เป็นเพื่อมาให้กำลังใจแล้วแต่ละคนเราก็จะฝึกให้ดูแลตัวเองได้ ทำงานเป็น สอนให้ทำงานหาเงินเอง แล้วอีกอย่างที่สำคัญก็คือ ให้น้องๆ ตามหาความฝันของตัวเองให้เจอเร็วที่สุด แล้วก็ทำ ให้ไปถึงความฝันนั้นเร็วที่สุด อย่าเสียเวลาเพราะว่าจากประสบการณ์ของผมเองบางอย่างเราชอบก็ได้แต่มอง แล้วเราก็รู้สึกว่าเสียเวลา กว่าจะได้เข้ามาทำจริงๆ เพราะฉะนั้นต้องค้นหาพรสวรรค์ของเขาให้เจอเร็วที่สุด แล้วก็รีบพุ่งเข้าไปตรงนั้น ซึ่งแต่ละคนเขาก็จะมีความแตกต่างกันไป น้องเซย่าก็จะมาสาย ว้อยท์ ส่วนน้องมิย่า ก็จะมาสายเต้น ตอนนี้ก็เรียนเต้นฝึกซ้อมอยู่ ผมก็พยายามจะส่งน้องเข้าไปออดิชั่นของค่ายเกาหลีที่เกาหลีใต้เร็วๆ นี้ และคนเล็กน้องโลเตอร์ เล่นดนตรี ตีกอง และเป็นนักแข่งรถเขามีทักษะ ขับรถได้ดี ปีนี้ก็ตระเวนแข่งที่เมืองนอกแล้วเวลาเราไปกันก็จะยกไปทั้งครอบครัว คือครอบครัวเราจะอยู่ด้วยกันตลอดเรียกว่าเป็นวิถีในการใช้ชีวิต
แบ่งเวลาเติมความหวาน
ผมก็คิดว่าเราทำในส่วนของตัวเองได้ดีที่สุดและเรียบร้อยนะ เช่น ดูแลเขาอย่างดี ไม่คิดแบบผู้ชายที่แบบว่าขอเวลาส่วนตัวไปสังสรรค์กับเพื่อน ถ้าผมไปก็จะชวนเขาไปด้วย หรือว่าเขาไปสังสรรค์กับเพื่อนเราก็พาลูกไปด้วย อาจจะอยู่โต๊ะข้างๆ (หัวเราะร่วน)คือหลังจากแต่งงานมีครอบครัวมานี่ ไม่เคยออกไปเที่ยวกลางคืนเลย น่าจะ 16-17 ปี ได้แล้วมั้ง เราก็ไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ไม่อยากออกไปไหนอยากอยู่กับครอบครัว ถ้าเพื่อนอยากเจอก็มาหาที่บ้านผมรู้สึกว่าถ้าจะไปไหนก็อยากจะอยู่กับลูกๆ และภรรยาดีกว่า
ธุรกิจครอบครัว
ผมทำบริษัทเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ลูกค้าเราก็จะเป็นโปรดักซ์สินค้าต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์เป็น (Supplier) ทำมาเกือบ 13 ปีแล้ว งานก็จะเปลี่ยนไปตามเวลา ช่วงเศรษฐกิจดีมากๆ ก็จะมีงานหลายแขนงเกิดขึ้น บริษัทต่างๆ มีเม็ดเงินที่จะใช้ พอเศรษฐกิจไม่ดีเม็ดเงินน้อย รูปแบบงานก็เปลี่ยนไป ปรับสภาพไปตามเศรษฐกิจ และส่วนตัวผมเองก็มีทำเครื่องดื่มชูกำลัง “Hero Star” เป็นผลิตภัณฑ์ energy drink เป็นสารสะกัดไม่มีสารเคมีเลย พยายามจะลุยตลาด AEC ตอนนี้ก็เพิ่งเริ่มต้นมาประมาณ 2 ปีแล้ว ก็ต้องใช้เวลา ยังไม่ได้หวังผลอะไรมาก เราหวังผลอีก 10 ปีข้างหน้า ลูกๆ โตแล้วมากกว่า (หัวเราะ) ส่วนภรรยาก็มีทำกล้วยหอมทองแท้บางกรอบ “ตรา ฟาร์มวิล” สั่งออนไลน์ได้ และก็มีรับทำเค้กด้วย ที่คนชอบก็จะเป็น เค้กมะพร้าว สามารถสั่งจองได้ที่ Line :@milkywaybakery
เส้นชัย
โชคดีที่ชีวิตผมเหมือนมีหลายเส้นทาง ไม่ได้แค่ทำงานในวงการบันเทิงอย่างเดียว ธุรกิจอื่นก็ทำผมขอใช้คำว่า มีที่ยืนในสังคม คือ การมีที่ยืนกับมองหาที่ยืนต่างกันนะ บางช่วงก็อาจจะยืนโล่งๆ บางช่วงก็ยืนอย่างแออัดแน่นๆ หน่อย ก็ไม่เป็นไร ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ตอนนี้ก็ถือว่าบั้นปลายแล้วนะ (หัวเราะ) เพราะเราตั้งใจจะรีไทร์ตัวเองเร็ว ไม่ได้จะบอกว่าใช้ชีวิตมามากที่สุด แต่จะบอกว่าเราก็ผ่านอะไรมามากมายหลายเหตุการณ์ ทุกๆ วันก็ยังเป็นการเรียนรู้อยู่ยังไม่มีสูตรสำเร็จหรือมีบทสรุป แค่ว่าทุกวันนี้เราก็ยังดูแลลูกๆ และภรรยา แล้วก็หวังว่าลูกจะสามารถเข้าไปอยู่ในสังคมได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไปไหนคนรัก คนเอ็นดู แล้วก็มีภูมิคุ้มกันที่จะต่อสู้กับสังคมในอนาคตได้ แค่นี้แหละคือสิ่งที่เรามองไว้
หลักการใช้ชีวิตเวลาท้อ
จริงๆ แล้วการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบัน กับลูกๆ 3 คน แล้วก็ ภรรยา การเป็นหัวหน้าครอบครัว เราก็ผ่านเหตุการณ์มากมาย ส่วนมากปัญหาต่างๆ จะเกิดขึ้นจากตัวเราเองนี่แหละ เช่น ทำภารกิจบางอย่างที่ใหญ่แล้วก็เกิดปัญหารอบตัว โจทย์ก็คือใครจะแก้ปัญหาได้เร็วที่สุด แล้วก็เดือดร้อนน้อยที่สุด สิ่งที่คนเราจะต้องยอมรับให้ได้ก็คือ ความไม่สมหวัง หรือความพ่ายแพ้ เราอยากให้เป็นแบบนี้แต่มันไม่เป็น สุดท้ายแก้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยวาง เพราะถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
ฝากบอกมิตรรักแฟนคลับ
แฟนๆ ที่เข้ามาคุยกับเรา อยากเจอ อยากถ่ายรูป ขอลายเซ็น กี่คนที่เจอก็มักจะมีคำถามที่ว่า เล่นละครอีกไหม เมื่อไหร่จะได้ดู โอ้โห..ลูกโตแล้วนะ เราจะชอบดูความรู้สึกต่างๆ ของคนที่เข้ามาทักทายเราดีใจที่ทุกคนดีใจ เรามีที่ยืนในจิตใจของพี่น้องคนไทย สมัยก่อนนะ ไม่มีโลกโซเชียลช่วย ที่บ้านก็จะมีแฟนละครเขียนจดหมายมาหาวันหนึ่งพันสองพันฉบับ ฉะนั้นความโด่งดังในสมัยก่อนคือดังจริงๆ มันไม่มีโซเชียลช่วย และโชคดีที่เราก็อยู่ในช่วงเชื่อมต่อของสองยุค ผมก็เจอคนรุ่นที่ดูละครเราเยอะๆ เขาก็พยายามหาเราจนเจอทั้งไอจี เฟซบุ๊ค เขาก็จะมาบอกว่าดีใจมากที่เดี๋ยวนี้มีไอจี ทำให้โลกที่กว้างๆ แคบลงมา
เรียกว่าจะกี่ยุคกี่สมัย พีท ทองเจือ ก็ยังเป็นขวัญใจแฟนคลับทุกเพศทุกวัยอย่างเหนียวแน่นเหมือนเดิม!!
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี