กว่าครึ่งชีวิตที่โลดแล่นอยู่ในเส้นทางสายบันเทิง “เขตต์ ฐานทัพ” หรือ “ธฤษณุ ธีญานาถธนันชา” จึงทั้งหลงใหลและรักในการแสดง จนอยากที่จะสานต่อไปสู่งานเบื้องหลัง และวันนี้ความฝันของเขา ก็ได้เดินทางมาถึงเป้าหมาย ก้าวสู่บทบาทหน้าที่ใหม่ โดยที่เขาไม่เคยลืมเรื่องราวในอดีต ซึ่งทำให้ชีวิตมาถึงวันนี้
บทบาทหน้าที่
ปัจจุบันผมเป็นผู้จัดการแผนกละคร “บริษัท มีเดีย สตูดิโอ จำกัด” ทำมาเมื่อสิงหาปีที่แล้วครับ คือเราก็มั่นใจในจุดนึงของเรา ว่าเรามีคุณสมบัติ มีประสบการณ์มากพอ แล้วพอดีนายเรียกมาคุยว่าอยากทำงานไหม เป็นงานดูแลเรื่องละครนี่แหละ เป็นผู้ช่วย “พี่จุ๋ม” (ดร.เยาวลักษณ์ พูลทอง) ดูเรื่องละคร ซึ่งเราก็ยินดี งานที่ทำก็ในทุกๆ ภาคส่วนนะครับ อย่างตอนที่ผมเข้ามา ก็ทันเรื่อง“สกาวเดือน” พอดี เลยมีโอกาสได้ดูแลประมาณครึ่งเรื่อง ดูแลตั้งแต่การคอมเมนท์เรื่องบท ซึ่งก็จะมีบอร์ดผู้บริหารคอมเมนท์ด้วย ไม่ใช่ผมคนเดียว หลายคนจะมองว่าเขตต์เป็นผู้จัดฯ เหรอจริงๆ ไม่ใช่ครับ เรามีทีมที่แข็งแรงมาก พอมาทำงานเบื้องหลังตรงนี้ก็ต้องบอกว่าสนุกนะ จริงๆ มันเป็นความฝัน(ยิ้ม) คือผมเคยฝันว่าอยากจะทำงานเบื้องหลังละครมาเมื่อประมาณ 5 ปีแล้วครับแต่ว่าก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำสักที ก็ต้องกราบขอบพระคุณ ดร.เยาวลักษณ์ พูลทอง ที่ให้โอกาสผม
จังหวะและโอกาส
เราอยู่วงการนี้มาตั้ง 20 กว่าปี เล่นละครเกือบ 60 เรื่อง (หัวเราะ) เรายังไม่ได้รับโอกาส ก็ถือว่ามีเดียสตูดิโอเป็นที่แรก ที่ให้โอกาสเราได้มีที่ที่อยู่เบื้องหลัง และได้อยู่ในโพซิชั่นที่ผมพอใจและภูมิใจ ผมเล่นละครมาตั้งแต่อายุ 17-18 ก็นานมากแล้ว ทำธุรกิจอื่น เราก็ทำ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จบ้างไม่ประสบความสำเร็จบ้าง แต่เรื่องที่เรารู้ดีมากที่สุด เป็นครึ่งชีวิตเราแล้วด้วย ก็คือเรื่องละคร จะหนีไปไหนได้ ก็รอว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้ทำเท่านั้นเอง แล้วพอมีโอกาส เราก็ต้องทำอย่างเต็มที่ รายละเอียดของงานจริงๆ ที่ทำ คือดูตั้งแต่การคอมเมนท์เรื่องบท ประชุมเรื่องคิวถ่าย เรื่องค่าใช้จ่าย คือทุกอย่าง รวมไปถึงการออกกองถ่าย ผมไปกองสกาวเดือนทุกคิว ตั้งแต่ที่ผมได้รับมอบหมายให้ดูแล แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งในทีมตัดต่อด้วย พอเรามาทำเบื้องหลัง ทำทางด้านการดูแลการผลิตจริงๆ เหมือนโปรดิวเซอร์ งานมันหลากหลายกว่า นักแสดงอยู่เบื้องหน้า งานกำกับจริงๆ ก็ชอบนะ ผู้กำกับอยู่เบื้องหลังก็จริง แต่ว่าคือหลังมอนิเตอร์ แต่หลังของผู้กำกับคือโปรดิวเซอร์ ต้องดูทุกอย่างทุกภาคส่วน ผู้กำกับมีหน้าที่กำกับการแสดง และถ่ายทอดการแสดงของนักแสดงให้ผู้ชมได้รับชม แต่เราคือทีมที่สร้างงานทั้งหมดขึ้นมา เราเลือกแม้กระทั่งตัวผู้กำกับ เราเลือกบทประพันธ์ เราเลือกทุกอย่าง เพราะฉะนั้นงานอย่างพวกเราคืองานวางระบบทุกอย่างของละครหนึ่งเรื่องทั้งหมด แล้วพอจบเรื่องสกาวเดือน เราก็มีเรื่องอื่นต่ออีก คือไม่ได้ว่างเลยครับ ตอนนี้ก็มีเรื่อง “ไฮโซสะออน” แล้วก็ “นักสู้สะท้านฟ้า” เป็นโปรเจกท์พิเศษที่ทำร่วมกับ พอดีคำ
แรงขับเคลื่อนในการผลิตผลงาน
สนุกมาก คือไฟมีเต็มเปี่ยมเลยครับ แล้วยิ่งเจอทีมที่เข้าขากันก็ยิ่งโอเค แฮปปี้มาก มีความสุข เราสามารถนำเสนอได้ว่าเราต้องการอะไร แต่มันก็ต้องแล้วแต่นายเราด้วย (หัวเราะ) ซึ่งคนอาจจะมองว่าสไตล์ผมน่าจะต้องมาสายคอเมดี้ แต่จริงๆ ผมเป็นคนชอบดราม่านะ และผมก็ชอบเล่นละครดราม่าด้วย แต่ทุกวันนี้ละครก็จะปนๆ กันหมด ขึ้นอยู่กับว่าใครผสมสูตรอะไรออกมาได้อร่อยถูกใจผู้ชมมากแค่ไหน ทำให้ทีมละครเราต้องทำงานกันหนักมากขึ้น เพราะคนดูทุกวันนี้มีพัฒนาการมากขึ้น เขาดูละครละเอียดมากขึ้น เราเข้าไปอ่านกระทู้ต่างๆในอินเตอร์เนตหรือในโลกออนไลน์ มีบางคนไดเร็กมาถึงผมเองโดยตรง และจดหมายก็ยังมีมาอยู่ ผมก็อ่านนะซึ่งมันก็เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มีมุมมองที่อาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน พอมีคอมเมนท์เข้ามา ที่เขาไม่ถูกใจในบางจุด พอเราปรับปุ๊บแฟนๆ น่ารักมาก เขาก็เข้ามาขอบคุณ คือเหมือนกับว่าทุกวันนี้มันต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เราฐานะคนทำงานด้านบันเทิงยังไงเราก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยพวกคุณทุกคนที่เป็นแฟนคลับ อาศัยแฟนคลับนักแสดง หรือแฟนคลับช่อง เราอยู่ได้เพราะพวกคุณ เพราะฉะนั้นทุกเสียงของพวกคุณทุกคน สำคัญมาก เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เราภาคภูมิใจ ทำให้เราหายเหนื่อย มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเศร้าน้ำตาตกก็มี มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราปลาบปลื้มตัวลอย คือมันมีทุกรูปแบบ ดังนั้นการจะเขียนอะไร มันมีผลกับชีวิตคนเยอะเหมือนกัน
บทบาทหน้าจอ
งานแสดงผมก็ยังรับอยู่ ทุกวันนี้ก็ยังมีสัญญาการเป็นนักแสดงกับทางช่อง 7 การที่ผมจะมีงานหรือไม่มีงาน ช่องเป็นคนกำหนด ละครปีนี้ยังไม่มีวาง แต่ว่าปีที่แล้วถ่ายจบไปแล้ว คือ “สมิงจ้าวท่า” ผมเองรักการแสดง แต่ว่างานเบื้องหลังมันเป็นความฝัน มันต้องแยกออกจากกัน ถ้ามีโอกาสได้เล่นละครต่อไปเรื่อยๆก็ยังเป็นสิ่งที่ดี เพราะตัวเองก็มีใจรักในการแสดง มันคือตัวตน งานประจำที่นี่เป็นอะไรที่แบ่งสันปันส่วนไว้แล้ว ว่าผมสามารถรับละครได้ 1 เรื่องในสัปดาห์นึง เราอายุขนาดนี้แล้ว ถ้าหมดสัญญาถามว่าเซ็นต่อไหม เอาเป็นว่าถ้าให้เซ็นก็เซ็นครับ ถึงไล่ก็ไม่ไป (หัวเราะ) ตอนนี้ผมเป็นพนักงานมีเดียสตูดิโอ อยู่ที่ไหนมีความสุขก็อยู่ ช่อง 7 เหมือนบ้านผม อยู่มาตั้งแต่เด็กๆ โตมาได้ถึงทุกวันนี้
คาแร็กเตอร์เวลาทำงาน
ใครๆ เขาบอกว่าเครียดนะ (หัวเราะ) ในพาร์ตที่เป็นนักแสดงจะไม่ค่อยเครียด หรืองานที่เป็นส่วนตัว บริษัทผมเองที่เป็นเจ้าของกิจการเอง ทุกคนก็จะบอกว่าดุ มาทำงานที่นี่ก็พยายามจะไม่ดุ (ยิ้ม) แต่เวลาออกกองมาเจอสถานการณ์ที่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน มันก็ขรึมไปเองบ้าง แต่อย่างน้อยก็เป็นผู้ใหญ่พอ ที่จะไม่ลุกขึ้นมาโวยวาย หรือว่าพูดจาด่าทอใคร
ครอบครัวและลูก
ตอนนี้ “ดีจ้า” (ธามัน ธีญานาถธนันชา)ก็สองขวบครึ่งแล้ว ส่งเข้าโรงเรียนแล้ว เพราะว่าพ่อแม่ก็ทำงานทั้งคู่ อยู่บ้านก็มีคุณยายกับพี่เลี้ยง ซึ่งผมก็มองว่าโรงเรียนน่าจะสอนลูกได้ดีกว่า เพราะเขาก็มีหลักวิชาการเครื่องไม้เครื่องมือ มีจิตวิทยา มันก็จะดีมากขึ้น คือพัฒนาการของดีจ้าคือเขาแสบมากขึ้นไม่เหมือนผมหรอก (ยิ้ม) คือเขาจะค่อนข้างกวน จะติดแม่มาก อ้อนพี่เลี้ยง ติดยาย แต่จะไม่ติดผม เพราะว่าผมดุไม่ตามใจเลย ถามว่ารักป๊ะป๋าไหม เขาจะตอบเลยว่าไม่รัก แต่ถ้าไม่มีใครเขาก็เอาเรานะ คือเราจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอ เขาเลี้ยงไม่ยากครับ ถ้ามีโอกาสก็จะเลี้ยงเขาเอง แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยได้เจอ เพราะว่าเมื่อก่อนเราก็ออกบ้านแต่เช้า เขายังไม่ตื่นกลับมาบ้านเขาก็หลับไปแล้ว บางทีก็ไม่ได้เจอ 4-5 วัน แม่เขาก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราไม่ตามใจเขามากกว่า เลยทำให้เขาไม่ติดเรา ทุกคนตามใจหมด แล้วผมก็คิดว่าน่าจะมีสักคนนึงที่เป็นมารร้าย เป็นยักษ์บ้างซึ่งก็คงต้องเป็นผมนี่แหละ เขาเป็นเด็กที่เข้าใจนะ แต่เขาจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง บางทีที่เราดุหรือว่าเขาก็จะฟัง รู้ว่าเราบ่นเขาก็จะทำหูทวนลมบ้าง เดาะปากเล่นบ้าง แล้วก็เฉไฉชวนคุยเรื่องอื่น คว้ากระติกน้ำดูดน้ำ เป็นเด็กที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ คิดว่าโตมาก็น่าจะเป็นคนที่เซ็นซิทีฟ(ติดความเป็นนักแสดงมาจากคุณพ่อไหม ?) อาจจะเป็นไปได้ มีบางจังหวะเหมือนกันที่ผมเห็นตัวเอง คือสั่งซ้ายไปขวาสั่งขวาไปซ้ายซึ่งผมเป็นอย่างนั้น
แพลนเปิดอู่อีกครั้ง
โอ้โห...ยากจังเลยครับ ขอเวลาตัดสินใจก่อน อยากมีนะ แต่จริงๆ การมีลูกคนเดียวมันก็ดี มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ สุดท้ายก็แล้วแต่ ถ้าเขาจะมาอีกคนก็มา แต่ถ้าไม่มาก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร “แนท” (ทักษญา ธีญานาถธนันชา /ภรรยา) เขาก็ทำงานเยอะไม่น้อยไปกว่าผมนะ เพราะฉะนั้นก็เป็นห่วงเขาเรื่องสุขภาพ ผู้หญิงลองมีลูกสักคนนึงสุขภาพก็จะถดถอย ก็แล้วแต่จังหวะว่าเขาจะมาหรือเปล่า ตอนนี้ก็สนุกกับการเลี้ยงดีจ้าไป เขาจะมีวีรกรรมมาให้แปลกใจทุกวัน
วางอนาคตลูกไว้อย่างไร
ทำอะไรก็ได้ที่เขามีความสุข แม้กระทั่งโรงเรียนเราก็เลือกโรงเรียนที่จะทำให้เด็กมีความสุข ทำให้เด็กอยากจะไปโรงเรียน ทำให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อสังคม มีน้ำใจโอบอ้อมอารี รู้จักช่วยเหลือรู้จักแบ่งปัน ผมมองว่าในอนาคตการแข่งขันมันสูง ความรู้เพิ่มเติมสามารถหาได้แต่สิ่งที่เป็นเนื้อแท้ในจิตใจของคน หรือเราอยากจะให้ทายาทของเราคนนึงเป็นคนที่ดีของสังคม เป็นคนที่ช่วยทำให้ประเทศนี้ โลกนี้มันน่าอยู่ขึ้น ผมเลือกแบบนั้นมากกว่า ถ้าคุณเก่งมากๆ แล้วคุณเบียดเบียนคนอื่นผมไม่โอเค เราก็เริ่มจากตัวเราเองก่อน ลูกเรา เราก็พยายามสอนให้เขาเป็นคนดี เอาตัวรอดได้ แต่ไม่เบียดเบียนใคร ส่วนพัฒนาการอื่นที่จะเสริมสร้างเขาให้มีศักยภาพที่ดีโดดเด่นขึ้น เราก็ค่อยสนับสนุน ผมไม่จำกัดว่าเขาจะเป็นอะไร เข้าวงการก็ได้ แต่งานในวงการมันก็เหนื่อยนะ เหตุผลของการเข้าวงการของผม มีเหตุผลเดียวเลย คือเราต้องดูแลตัวเอง ช่วยเหลือครอบครัว แต่พอเริ่มเข้ามา มันคือความรักความผูกพัน เพราะว่าเราอยู่ด้วยกันมานาน และไปอินกับเรื่องของการแสดงละคร ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเขาจะชอบเหมือนผมหรือเปล่า เราก็สร้างทุกอย่างเพื่อสแตนด์บายรอเขาพร้อมเป็นผู้ใหญ่ ก็รับหน้าที่ต่อไป
บอกเล่าถึงวันวาน
การเข้าสู่วงการบันเทิงสำหรับผม ผมถือว่าผมมาไกลเกินความฝันแล้วนะ ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าวันนึงจะมาถึงจุดนี้ เป็นคนที่มีคนรู้จักในหมู่มากถ่ายโฆษณาตอนอายุ 16-17 แต่มาเล่นละครที่เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกเลย ตอนอายุ18 เรื่อง “6/16ร้ายบริสุทธิ์” ซึ่งก่อนนั้นก็มีละครแต่ว่าเป็นละครสั้นรับเชิญ ผมเริ่มต้นจากถ่ายนิตยสาร “เธอกับฉัน” ซึ่งตอนนั้นฝึกงานอยู่ ผมเป็นเด็กศิลป์ เรียนอาชีวศึกษาธนบุรีก็ไปฝึกงานที่ศึกษาภัณฑ์ แล้วก็ลงมาจัดตู้ดีสเพลย์เจอพี่ที่เป็นช่างภาพคอลัมน์ของนิตยสารเธอกับฉัน เขาให้นามบัตร และชวนให้ไปถ่ายรูปทิ้งไว้ เราก็ไปไม่ได้คิดอะไรสยามเราก็ไม่เคยเดิน คือสมัยก่อนวัยรุ่นเขาจะไปเดินสยามกัน แต่เราบ้านนอกมาก (ยิ้ม) หลังจากนั้นพี่เขาก็เรียกให้ไปถ่ายแบบครั้งแรก รู้สึกว่าจะได้เงิน 5,000 บาทมั้ง ดีใจมาก ซื้อกางเกงยีนส์ได้ตัวนึง และได้เงินให้แม่ด้วย แล้วเราก็ช่วยคุณแม่เพราะว่าท่านก็เลี้ยงเรามาคนเดียวตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่าคุณพ่อเสีย พอถ่ายแบบก็มีไปเทสต์งานโฆษณาถ่ายมิวสิกวีดีโอ เป็นดัชชี่บอยรุ่นแรก และได้มาเล่นหนัง “ตัวเก็งเต็งหนึ่ง,เด็กเสเพล” แล้วก็ได้มาเล่นละครสั้นหลายเรื่องเล่นละครจริงๆ จังๆ ที่มีคนรู้จักในกลุ่มฐานคนดูละครคือ “6/16 ร้ายบริสุทธิ์” ซึ่งเป็นโปรเจกท์แรกที่ทุกวันนี้ก็คือ “น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์” ตอนนั้นก็เริ่มชอบการแสดงแล้วครับ เรารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นคนเซ็นซิทีฟเป็นคนมีจินตนาการ เราได้ปลดปล่อยจินตนาการของเรา
จุดพีคอีกครั้ง
เทิร์นนิ่งพอยท์อีกที คือการกลับมาเล่นช่อง 7 หลังจากที่เคยเล่นละครสั้นๆ ก็มาเล่นเรื่อง “รักเต็มร้อย”กับ “นุ่น-วรนุช” ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ละครเย็นฟีเวอร์ กลายเป็นคู่ขวัญกัน และมีละครคู่กันต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ก็มีไปเล่นกับนางเอกคนอื่นนะ แต่ถ้าเป็นอัตราส่วนละครในชีวิตที่เล่นมาทั้งหมดเล่นกับนุ่นอยู่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ถือว่ามากที่สุด แต่คนอื่นจะประปราย ผมถือว่าประทับใจทุกเรื่องที่เล่นมา เพราะว่าแต่ละเรื่องจะใช้ศักยภาพในแต่ละแบบแตกต่างกัน แล้วผมเป็นคนที่เล่นละครแต่ละเรื่อง ผมจะสร้างคาแร็กเตอร์ใหม่ให้กับตัวละคร คือไม่พยายามหยิบใช้เหมือนเดิม เราเล่นตั้งแต่เรารู้สึกว่ามันต้องมีแพทเทิร์น จนตอนนี้เราว่ามันไม่มีแล้วปล่อยให้บทนำพาไป
ความแสบซ่าในวันนั้น
ตอนที่เริ่มมีชื่อเสียงกันขึ้นมาใหม่ๆ แก๊งผมมี “จิม-เจจินตัย” ตอนนี้ก็มีลูกสาวกำลังน่ารักมาก เป็นเนตไอดอลดวงใหม่ “อั๋น-ศราวุธ” ก็อยู่เมืองนอกมีลูกสาว 2 คน “แจ้-จตุพล” ซึ่งตอนนี้เป็นคุณพ่อลูก 2 และเป็นเจ้าของร้านอาหารในอเมริกา บอกเลยว่าเพื่อนผมแต่ละคนไม่ธรรมดา (ยิ้ม) อีกคนคือ “พี่เล็ก-ศรัณย์” ซึ่งเสียไปแล้ว เราได้ฉายาเด็กนรก ซึ่งมันมาจากหนังที่เราเล่นด้วยกันของ “พี่มด-นพพร วาทิน”เรื่อง “ตัวเก็งเต็งหนึ่ง” นอกเรื่องแสบมาก ด้วยความซนสมัยนี้เขาต้องเรียกว่าความเกรียน คือความเกรียนมันมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ช่วงนั้นคำว่าเกรียนมันยังไม่มี แล้วผู้ใหญ่เขาก็พูดว่าพวกเอ็งนี่มันนรกจริงๆมันเลยเป็นที่มาของคำว่าเด็กนรก คือมันก็ต้องมีบ้างตามประสาวัยรุ่น เราไปสร้างปัญหาให้กับทีมงานเล่นไม่รู้เรื่อง ทำให้งานเขาช้า ซึ่งวันนี้มันก็ทำให้เราเข้าใจแล้วว่างานโปรดักชั่นมันเป็นอะไรที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา
วันที่บทบาทหน้าจอต้องเปลี่ยนไป
ไม่ได้รู้สึกยังไงเลยนะ มันเป็นเรื่องจริงของวงการบันเทิงเรามากกว่า มันขึ้นอยู่กับว่าบทนั้นมันเด่นมากแค่ไหน วันนี้ก็ถือว่าเรายังอยู่ในโพซิชั่นที่โอเคในความรู้สึกเรานะ ไม่ได้เป็นนำเดี่ยวในหลังข่าว แต่เราก็เป็นตัว 2 ผมมองว่าตัวละครมันมีความสำคัญกับละครเรื่องนั้นมากแค่ไหน ถ้ามีความสำคัญ เราเล่นได้เราโอเค
ความสำเร็จ ณ วันนี้
ด้วยหนึ่งอย่างคือด้วยกระแสตอบรับ มีคนที่เป็นแฟนละครติดตามผมตั้งแต่สมัยผมเด็กๆ เยอะนะทุกวันนี้เวลาไปไหนมาไหนไปที่ทุรกันดารไกลแค่ไหนทุกคนเขารู้จัก ผมมีความสุข ผมอยากจะกราบขอบคุณทุกคนเลย ที่สนับสนุนให้ผมเป็น “เขตต์ ฐานทัพ” ได้ถึงทุกวันนี้ 20 ปีที่ผ่านมา มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ยังกินก๋วยเตี๋ยวฟรีได้อยู่เลย (ยิ้ม) ขอบคุณที่ยังติดตามผลงาน แล้วก็คอยเป็นกำลังใจในทุกเรื่อง บางทีก็เจอกันตามเฟซบุ๊ค เมื่อก่อนก็จะต้องเขียนจดหมายหากัน แต่ทุกวันนี้มันไดเร็กตรงกันหมดแล้วหลายช่องทาง ก็ขอบคุณจริงๆ ที่ติดตามกันมาอย่างยาวนาน และหวังว่าจะติดตามกันต่อไปเรื่อยๆ เราก็มีเปลี่ยนไปบ้างตามกาลเวลา แต่ก็พยายามดูแลตัวเองถนอมสุขภาพ คงไม่ซ่าเหมือนสมัยเป็นวัยรุ่น ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปพอสมควร แต่ว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยน คือเรายังรักในอาชีพการเป็นนักแสดงอยู่เหมือนเดิมครับ
อีกหนึ่งคนบันเทิงตัวจริงที่ทุ่มทั้งชีวิตและจิตวิญญาณเพื่องานที่รัก และนี่คือ “เขตต์ ฐานทัพ” นักแสดงหนุ่มหน้าเด็กที่กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี