ย้อนเวลาไปเกือบ10 ปียุคที่กระแสเกาหลี เค-ป๊อป ยังไม่เข้ามาเมืองไทย เป็นช่วงที่ค่ายเพลงคีตาฯ กำลังโด่งดัง และหนึ่งวงเกิร์ลกรุ๊ปมาแรงที่เป็นที่รู้จักและถือได้ว่าเป็นการพลิกกระแสวงการเพลงสตริงในยุคนั้นคงต้องนึกถึงวง “ที-สเกิ๊ต” กับภาพลักษณ์ของ 3 สาว 3 สไตล์ ด้วยสีสันสดใสอินเทรนด์เรียกได้ว่าเป็นวงแรก ๆ ที่นำกลิ่นอายของเค-ป๊อปเข้ามาในเมืองไทยก็ว่าได้ และคอลัมน์ สตาร์ เรโทร โดยทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า ฉบับนี้ เราได้ร่วมเปิดใจกับหนึ่งในสมาชิกสาว “มาร์” อัสมา กฮาร  พี่สาวคนโตของวงกับลุคส์ที่เปรี้ยวจี๊ด จนใครหลายคนจำได้ ซึ่งชีวิตของเธอผ่านงานที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการแสดง พิธีกร ก่อนพลิกบทบาทมาสู่วงการเพลงลูกทุ่ง และล่าสุดกับบทบาทคุณแม่

เริ่มต้นเข้าวงการบันเทิง

“จำได้ว่าได้เล่นละครมันนานมากๆ เริ่มเข้าไปแคสของบริษัทไฟท์สตาร์ แล้วระหว่างที่เรากำลังรอแคส บนเวทีตอนนั้นเราคิดในใจ จะรอดไหม ไม่ค่อยมั่นใจ เพราะคนเยอะมาก แต่เหมือนโชดเข้าข้างเมื่อ พี่ “มด” นพพร วาทิน เจอเราเข้า ทีนี้พี่มดกับพี่ “ถา”สถาพร นาควิลัย ก็เลยเรียกเราเข้ามาคุย ซึ่งมาคิดว่าพี่ ๆ เขาคงถูกชะตาเรา หลังจากนั้นก็ไม่ต้องไปแคสบนเวที เรามีผลงานภาพยนตร์เรื่อง “เร็วกว่าไฟ ใจเกินฝัน” แล้วมีผลงานละครที่ตอนนั้นฮิตมากๆก็คือเรื่อง “4+1ถึงจะเทห์” ซึ่งเราก็ได้เริ่มต้นจากตรงนั้น แล้วยังได้เล่นละครสั้น ๆ อีกหลายเรื่อง

เริ่มเป็นที่รู้จัก

“น่าจะเป็นตอนออกอัลบั้มกับวง “ที-เสกิ๊ต” ทุกอย่างเกิดจากความบังเอิญ ด้วยความโชคดี เราเป็นเพื่อนกับ “ยุ้ย ปัทมวรรณ” ตอนนั้นยุ้ยเขาเป็นศิลปินออกอัลบั้มชชุดแรก แต่เรายังเล่นละครต๊อกแต๊ก ๆ ไม่ได้อะไรมากมาย ยุ้ยเขาเข้าไปทำอัลบั้มชุดที่ 2 ที่ คีตาฯ เลยชวนเราเข้าไปด้วยซึ่งโรงเรียน แสตมป์ฟอร์ด ที่เราเรียนอยู่ ติดกับที่คีตา ฯ ตอนนั้นอยู่พระราม 9 แล้ว อา “นก” ฉัตรชัย เปล่งพานิช มาเจอเราเลยทำให้เราได้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกวง “ที-สเกิ๊ต”

ที-เสกิร์ส เกิดได้อย่างไร

“จริง ๆ แล้วในวง ที-สเกิร์ส มาจะรู้จักทั้ง 2 คนทั้ง “จอย” ดวงพร สนธิขันธ์ และ “กิ๊ฟ” ธิติยา นพพงษากิจ มาก่อน ซึ่ง “จอย” จะเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน ส่วน “กิ๊ฟ” นี่เรารู้จักกันจากการร่วมงานเรื่อง “น้ำเต้าหู กับครูระเบียบ” วันนั้นน้องเขาผ่านมาที่บริษัท ฯ พอดีกับที่กำลังแคสติ้งหาสมาชิกวง ซึ่งคาแรคเตอร์มันไม่ตรง 3 คน 3 สาว 3 สไตล์ อย่างนี้ค่ะ แต่พอน้องกิ๊ฟมา น้องเขาตรงตามคาแร็กเตอร์มันเลยเป็นต้นกำเนิดของงวง “ที-เสกิร์ส”  ค่ะ”

เพลงที่ทำให้คนรู้จักที-สเกิร์ส

“เป็นเพลงเปิดตัวอัลบั้มเลยก็คือเพลง “ไม่เท่าไร” ซึ่งเพลงนี้ตอนแรกที่ฟังเราก็ว่าน่ารักดีแต่ไม่คิดว่าจะประสบความสำเร็จขนาดนี้อาจด้วยเพราะบวกกับอะไรอีกหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า หน้าผมของเรา 3 คน 3 สี 3 สไตล์ คือมันอินเทรนด์นำกระแสมากในตอนนั้น มันเลยทำให้ภาพดูชัดเจน ซึ่งตอนนั้นกระแสของเพลงสตริงสมัยก่อนไม่ใช่ฟูฟ่าเหมือนสมัยนี้เหมือนเรานำกระแสเกาหลีเข้ามาแรก ๆ เลย แต่งหน้าก็เข้มเขียนตาขึ้นไปหางตาอย่างนี้ค่ะ ทุกอย่างคือเปรี้ยวหมด ผมนี่ตัดสั้นไฮไลท์สี อาจจะเป็นเพราะว่าเพลงด้วยท่าเต้นด้วยมันเลยทำให้วงนี้แตกต่างจากวงอื่น น่าจะเป็นจุดสนใจอย่างนี้ ซึ่งเราก็ชอบเพราะแตกต่างจากวงอื่น ๆ แล้วเพลงแรกที่ออกมาเราก็ดังเปรี้ยงแล้วเราโปรโมทนานด้วย ออกอัลบั้มวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 22เมษายน เรามีคอนเสิร์ตแล้วที่สยามแสควร์ ซึ่งถือว่าเร็วกว่าวงอื่น ๆ ที่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ ในตอนนั้นต้องปิดถนนเปิดคอนเสิร์ตแล้วค่ะ ความรู้สึกของเราแฮปปี้มากตรงนั้น ที่ได้ทำงาน กับน้องที่เรารัก งานที่เรารัก”

มีผลงานกี่อัลบั้ม แล้วทำไมอยู่ ๆ หายไป

“ตอนนั้นออก 2 อัลบั้มแล้วก็ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง “แรงเป็นไฟละลายแค่เธอ” ช่วงที่หายไปเป็นช่วงโปรโมท อัลบั้มชุดที่ 2 อัลบั้มออกไปแล้ว ประมาณ 2-3 เดือน และเราต้องทัวร์คอนเสิร์ตค่ะ คือมันเริ่มมีปัญหานะคะ แล้วบริษัทก็ปิดไปหลายๆคนก็ต้องแยกย้ายไปทำงานของแต่ละคน”

ตอนนั้นมาร์เลือกทางไหน

“ตอนนั้นมาร์เลือกที่จะยังอยู่ตรงนี้ ตอนนั้นเราก็มีละครของช่อง 7 อยู่บ้างนะคะก็เริ่มที่จะกลับมาในเรื่องของละครเต็มตัวมากขึ้นเพราะว่ามีเวลามากขึ้น หลังจากนั้นหลายคนก็พยายามติดต่อให้ทำอัลบั้มลูกทุ่ง แต่ว่าเรายังไม่พร้อม ด้วยความที่เราเป็นสตริงมาก่อนอะไรอย่างนี้ หลังจากนั้นหลายปีผ่านไป ก้ได้หันมาทำพิธีกรอะไรมาอีกเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งตัดสินใจทำอัลบั้มลูกทุ่งจริง ๆ จัง ๆ อีกครั้ง กับค่าย ทริปเปิ้ล เอ็นเอนเตอร์เทนเม้นท์ ในอัลบั้ม “ลูกทุ่งสาวป็อปแดนซ์” มีเพลงดัง  “มาแล้วจ๊ะ”  ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งที่เราพอใจ เป็นงานเพลงเดี่ยวหลังจากที่เราหายไปนาน แล้วก็เปลี่ยนสไตล์เปลี่ยนแนวเพลงด้วยถึงจะเป็นลูกทุ่งแต่มาร์ก็ยังคงกลิ่นอายความเป็นสตริงไว้ ซึ่งหลายคนก็อาจจะยังไม่รับเพราะเขาคิดว่าลูกทุ่งก็น่าจะลูกทุ่งไปเลย สตริงก็สตริงไป เพียงแต่เราอยากจะปลุกกระแสขึ้นมาใหม่ว่าจริงๆ ลูกทุ่งก็มีกลิ่นไอสตริงเข้ามาได้ด้วย ช่วงที่ออกงานเพลงลูกทุ่ง มาร์ได้เข้ามาสัมผัสกับคนลูกทุ่ง มีพี่ ๆ เพื่อน ๆ เยอะมากทุกคนเป็นมิตรกัน สนิทสนมกัน มันไม่เหมือนสตริงนะ สตริงตอนนั้นที่มาร์ทำงานมันเหมือนมีค่าย มีอะไรเขาห้าม แต่คนลูกทุ่งไม่ใช่ทุกคนสนิทกันหมดเลยไม่ว่าจะเป็นค่ายเล็กค่ายใหญ่ เป็นช่วงที่สนุกมากค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังมีหลาย ๆ คนที่ยังคุยกันอยู่”

หายไปจากวงการ

“มาร์แต่งงานค่ะ แล้วก็มีน้อง คือเป็นช่วงที่เราโตขึ้นแล้วและเมื่อมีครอบครัวเราก็ต้องดูแล พอมีน้องเราก็อยากเลี้ยงน้องด้วยตัวเอง ตอนนี้มาร์แทบไม่อยากออกไปไหนเลย”

การใช้ชีวิตครอบครัวเป็นยังไง

“มันก็ดีนะเพราะว่าด้วยวัยตอนนั้นเราก็เหมาะที่จะมีครอบครัวแล้ว มาร์แต่งงานตอนอายุ 33 ปี ตอนปี 2550 มีน้อง “มินนี่” ตอนอายุ 34 ปี ทุกวันนี้ยังรู้สึกทุกอย่างเพิ่งผ่านไปไม่นานเอง มีหลายคนถามทำไมมีเร็วจัง เรามองว่าตอนนี้เรายังไปเที่ยวกับลูกได้พออายุเยอะขึ้นโตขึ้น ตอนนี้เขาเพิ่ง 4 ขวบเอง เราจะเป็นเลข 4 อยู่แล้ว ถ้าปล่อยมันนานไปก็มองว่ามันช้าไป”

แล้วพอย้อนกลับไปตอนนั้นมาจนวันนี้

“มันมีความสุขมากเพราะว่า ส่วนหนึ่งเราเป็นคนที่ชอบจด ชอบจำ ชอบเก็บทุกอย่างที่เป็นงาน เก็บทุกอย่างที่เป็นความทรงจำที่ดีแล้วก็ จำแม่นซะด้วยก็เป็นอย่างนั้นไปแล้วเราก็แฮปปี้กับทุกอย่างที่ผ่านมาเพราะว่าเราไม่ได้ละเลยกับงานทุกอย่างที่เราทำเลยนะคะ ทุกวันนี้เวลาเราพูดถึงงานคอนเสิร์ตเก่าๆมันจะแวบมาเร็วมากเหมือนมันเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน ทั้งๆที่มันก็ผ่านไปเป็น 10 ปีแล้วอะไรอย่างนี้แล้วก็ทำให้พอเวลาวันหนึ่งเรามีลูก ลูกเราก็จะได้เห็นผลงานเรา เขาก็แฮปปี้มาก เขาก็ชอบซึ่งเราก็ชอบเรามีความสุขที่วันหนึ่งเราทำให้ลูกเห็นว่าเมามี้อยู่ตรงนี้มันทำให้เขารู้สึกภูมิใจ”

สิ่งที่ได้จากวงการบันเทิง

“มิตรภาพค่ะ มาร์ว่ามิตรภาพที่ได้จากตรงนี้นะคะเพราะว่าจริงๆแล้วอย่างแรกแน่นอน ทุกวงการมันมีทั้งดีและไม่ดีในตัวของมันเอง อยู่ที่ว่าเราจะเจอแล้วเลือกอะไรตรงไหน แล้วเรายังได้พัฒนาตัวเราเองด้วยนะคะจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ซึ่งวงการบันเทิงเป็นสิ่งที่น่าท้าทายความสามารถแน่นอนทุกคนบอกคลื่นใหม่มาเร็วไปเร็ว มันเป็นวัฏจักรของวงการอ่ะค่ะ จะทำยังไงให้เราได้อยู่ได้นานแล้วเก็บความทรงจำนั้นไว้ได้นานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้มากกว่า”

ตอนนี้ดูแลน้องยังไงบ้าง

“ดูแลน้องมินนี่ 24 ชั่วโมงเลย ตั้งแต่คลอด คลอดก็คลอดเอง แรก ๆ เราก็กังวลนะว่าเราจะทำได้หรือเปล่าอย่างนี้ สามีบอกว่าเราจะเป็นแม่คนเราต้องทำได้เหมือนที่แม่เราทำ เราต้องเลี้ยงลูกเองได้เราต้องคลอดเองได้ เราต้องออดทนนะแล้วก็คลอดออกมาเองจนได้ ให้นมตัวเองจนขวบหนึ่ง แล้วเราก็เลี้ยงเองไม่มีพี่เลี้ยง เราเลี้ยงเขาเองมันทำให้เรารู้สึกว่าเราเข้าใจเขาว่าเขาต้องการอะไรบ้าง เด็กทุกคนเลี้ยงยากหมดแหละค่ะ เราเองก็ต้องเรียนรู้ไปพร้อมลูก ลูกเองที่เพิ่งเกิดมาก็ต้องเรียนรู้ไปพร้อมเรา เราก็เลยเลือกที่จะไม่มีพี่เลี้ยง ส่วนเรื่องวงการตอนนี้น้องก็มีผลงานโฆษณาแล้วค่ะ

อยากให้น้องเขาวงการไหมคะ

“ตอนนี้น้องมีผลงานโฆษณาแล้วค่ะ ของโคโดโมะ เชื่อไหมเราขอพรตลอดดเลยนะว่า ถ้าเขาจะเข้ามาในวงการบันเทิงอยากให้เขาเข้าได้ด้วยตัวเขาเองไม่ใช่เพราะเรา แล้วมันก็เป็นจริงๆด้วยความที่ฟลุคหลายๆอย่าง ซึ่วโฆษณาชุดนี้ออนแอร์ไปเมื่อเดือนมกราคมนี้เองค่ะอยากให้ลองชมกัน

ตอนนี้ทำอะไรบ้าง

“เป็นแม่บ้านค่ะ แล้วตอนนี้ก็ทำบริษัทนำเข้าอาหารเสิรมจากต่างประเทศ แล้วไปกระจายให้บริษัทที่ต้องการขายก็เฉลี่ยขายกันไปอย่างนี้ค่ะ”

สุดท้ายอยากให้ฝากถึงแฟนๆที่ติดตามผลงาน

“ค่ะ ก็ขอบคุณกันมากๆนะคะที่ยังถามไถ่ถึงกันนะคะ ห่างหายกันไปนานพอสมควรเพราะว่าก็ต้องดูแลครอบครัวดูแลลูก มีอะไรก็สามารถที่จะทักทายกันได้ทางเฟสบุคนะคะ “asama kaharW ใช้ชื่อตัวเองเลยขอบคุณทุกคนมากๆที่มาโพสต์มาพูดคุย ยังนึกถึงเราอยู่นะคะก็อยากที่จะอวยพรให้ทุกคนมีความสุขมากๆ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ให้สู้กันต่อไปสำหรับคนที่ท้อแท้ในชีวิตนะคะ แล้วก็มองถึงวันพรุ่งนี้รับรองว่าเราทำได้ค่ะ”

พินิตา