17 ต.ค.58 คณะนักวิจัยชาวดัตช์ นำโดย ศ.มาร์ก โพสต์ ผู้ริเริ่มคิดค้นวิธีผลิตเนื้อเบอร์เกอร์จากเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ ที่มหาวิทยาลัยมาสทริชท์ ในเนเธอร์แลนด์ โดยการนำเนื้อเยื่อของวัวมาเพาะโดยเติมสารอาหาร และสารเร่งการเติบโต และปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลาสามสัปดาห์ จนสเต็มเซลล์ได้แบ่งตัวเพิ่มนับล้านเซลล์ จากนั้นจึงนำสเต็มเซลล์เหล่านั้นมาแบ่งและเพาะต่อ เพื่อให้ก่อตัวและประสานรวมกันเป็นกล้ามเนื้อ จากนั้นก็เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลายาวนานในการนำสเต็มเซลล์กล้ามเนื้อมาเรียงกันเป็นชั้น ใส่สี และผสมกับไขมัน ก่อนจะออกมาเป็นชิ้นเบอร์เกอร์

ขณะที่การศึกษาในด้านสเต็มเซลล์ โดยปกติคือการพยายามปลูกเนื้อเยื่อ จากเซลล์ต้นกำเนิด เพื่อนำไปปลูกถ่ายทดแทนกล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท หรือกระดูกอ่อนที่เสียหายจากโรค หรืออุบัติเหตุ แต่ ศ.โพสต์ ได้ใช้สเต็มเซลล์เพื่อผลิตเนื้อเบอร์เกอร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาความต้องการเนื้อสัตว์ที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่กระบวนการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิมจะต้องใช้ทั้งพลังงาน น้ำ และที่ดิน ซึ่งส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปัญหาสำคัญของโลกในปัจจุบัน

ปีเตอร์ เวอร์สเตรท ประธานบริษัท Mosa Meat เผยว่า มั่นใจว่าจะมีผู้สนใจซื้อเนื้อเบอร์เกอร์ที่ผลิตขึ้นจากสเต็มเซลล์ โดยตั้งความหวังว่าจะนำออกจำหน่ายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารคนหนึ่งได้ชิมเนื้อเบอร์เกอร์ดังกล่าว บอกว่ารสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ แต่ไม่ชุ่มฉ่ำเท่า และบางคนบอกว่ารสชาติเหมือนเบอร์เกอร์จริง หลังจากที่นำมาปรุงและรับประทานให้ชมกันในการแถลงข่าวที่กรุงลอนดอนเมื่อ 2 ปีก่อน

ทั้งนี้ ทางบริษัทจะทำวิจัยต่อ เพื่อให้สามารถผลิตเนื้อที่มีรสชาติอร่อย และราคาถูกลงได้ โดยเบื้องต้น คาดว่าจะขายแก่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม หรือเปิดบริการสั่งซื้อ ซึ่งหากได้รับผลตอบรับที่เพิ่มมากขึ้น มีความต้องการเพิ่งสูงขึ้น และสามารถขายได้ในราคาที่ถูกลง ก็อาจจะมีกำลังไปวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตในอนาคตข้างหน้านี้ได้

อย่างไรก็ดี นายเวอร์สเตรท บอกว่าเนื้อเบอร์เกอร์ที่ผลิตขึ้นใน 2 ปีก่อนนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์ เพราะเป็นเนื้อที่มีเพียงโปรตีนกับเส้นใยกล้ามเนื้อเท่านั้น ขณะที่เนื้อสัตว์จริงจะต้องมีเลือด ไขมัน พังผืดและสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้มีรสชาติและมีลักษณะของเนื้อสัตว์ โดยบริษัท Mosa Meat ที่ตั้งขึ้นมาใหม่นี้ จะทดลองผลิตเนื้อบดที่มีรสชาติเหมือนเนื้อจริงในห้องทดลอง ก่อนจะพัฒนาถึงขั้นนำออกจำหน่ายจริงได้

ที่มา : BBC