ผมคิดว่าหลายท่านคงทราบดีแล้ว ว่าโดยปกตินั้น สุนัขและแมวควรได้รับการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยการฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี โดยในลูกสุนัขที่เพิ่งได้รับวัคซีนเป็นครั้งแรก (อายุ 6-8 สัปดาห์) นั้น จะต้องมีการกระตุ้นวัคซีนอีก 1-2 ครั้งตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ครับ หลายๆ ท่านคงอาจเคยได้ยินคำว่า “สุนัขและแมวแพ้วัคซีน” ในบางท่านอาจเคยประสบกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองเลยก็ได้ วันนี้เราจะมาคุยเรื่องนี้กันครับ
การแพ้วัคซีนในสุนัขคืออะไร
การที่เราฉีดวัคซีน (ในวงการสัตวแพทย์จะเรียกว่า “ทำ” วัคซีน) ให้สุนัขเป็นประจำทุกปีนั้น ถือเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของสัตว์ ซึ่งพบว่า 1-2 วัน หลังการฉีดวัคซีนนั้น สัตว์บางตัวอาจแสดงอาการซึม ตัวร้อน มีไข้ต่ำๆ หรือมีอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ และข้อต่อได้ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถพบได้ แต่สัตว์ที่แข็งแรงหลายๆ ตัว อาจไม่แสดงอาการเหล่านี้ให้เห็น โดยสัตว์จะกินอาหาร และวิ่งซนได้ตามปกติ ยกเว้นบางรายที่เกิดอาการอักเสบที่รุนแรง จึงอาจเห็นอาการที่ชัดเจนได้ครับ
การแพ้ (hypersensitivity หรือ allergy) พูดกันอย่างง่ายๆ ด็คือ เป็นความผิดปกติ จากการที่ร่างกายมี “ภาวะภูมิไวเกิน” หรือ ภาวะที่ร่างกายตอบสนองทางภูมิคุ้มกันมากเกินพอดี ต่อสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ (ที่เรียกว่า allergen) ไม่ว่าจะเป็นวัคซีน ละอองเกสร ฝุ่น อาหาร หรือยาก็ได้ครับ
การแพ้ มีอาการอย่างไร
เมื่อร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อการแพ้ หรือต่อ allergen นั้น ก็จะทำให้เกิดการอักเสบ และการทำลายเนื้อเยื่อตนเองขึ้น ซึ่งการแสดงออกของการแพ้นั้น อาจมีหลายรูปแบบที่แตกต่างกันในแต่ละตัว ตั้งแต่อาการเพียงเล็กน้อยเช่น จาม น้ำมูกน้ำตาไหล ผื่นแดง บวม ลมพิษ หน้าบวม อักเสบ หอบหืด หัวใจเต้นเร็ว จนถึงเกิดภาวะช็อค และเสียชีวิตได้ครับ ซึ่งอาการที่พบนั้น อาจเกิดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกันก็ได้
การแพ้วัคซีนสามารถเกิดขึ้นได้ แต่พบได้ไม่บ่อย โดยปกติแล้วจะเกิดอาการแพ้จากโปรตีนที่บรรจุอยู่ในวัคซีนนั่นเอง ซึ่งอาการแพ้นั้นจะมีหลายรูปแบบขึ้นกับปริมาณและการตอบสนองของสัตว์แต่ละตัว โดยส่วนใหญ่จะมีอาการ ผื่นแดง ลมพิษ หนังตาและหน้าบวม หอบหืด กระวนกระวาย ซึ่งอาจมองอย่างเล่นๆได้ว่า เจ้าหมาน้อยตัวที่เกิดการแพ้วัคซีนนั้น เหมือนว่าเป็นการถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัวเลยทีเดียว เนื่องจากการแพ้วัคซีนนั้นพบได้ไม่บ่อยนักครับ
ปัญหาอีกอย่าง (นอกจากการแพ้วัคซีน) ที่มักเกิดได้บ่อยกว่า ภายหลังการฉีดวัคซีน นั้นคือ การแสดงอาการป่วย-มีไข้ เนื่องจากวัคซีนส่วนใหญ่ที่เราใช้กันนั้น จะเป็นวัคซีนเชื้อเป็น (Modified live vaccine) ซึ่งในวัคซีนจะประกอบไปด้วย “เชื้อโรค” ที่เป็นสาเหตุของโรคนั้นๆ แต่ผ่านกระบวนการที่ทำให้ “อ่อนกำลังลง” (แต่ยังมีชีวิตอยู่ และ “ไม่”สามารถทำให้เกิดโรคได้)
เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกาย ก็เปรียบเสมือนว่า สุนัขได้รับเชื้อเข้าไป เพียงแต่เชื้อที่อยู่ในวัคซีนนั้นไม่สามารถทำให้สุนัขเกิดโรคได้ เพราะเชื้อไม่มีกำลังมากพอที่จะก่อโรค แต่ยังมีกำลังเหนี่ยวนำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองและจดจำเชื้อได้เท่านั้น
เมื่อบอกว่า ในวัคซีนมีเชื้อก่อโรค ดังนั้น สัตว์ที่ได้รับวัคซีน จึงอาจแสดงอาการป่วยหลังจากที่เพิ่งฉีดวัคซีนไปได้ เพราะเป็นผลมาจากปฏิกิริยาของร่างกาย เช่น มีไข้อ่อนๆ ซึม กินอาหารลดลง เจ็บปวดบริเวณที่ฉีด เป็นต้น ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า คุณหมอมักจะแนะนำ ให้เจ้าของงดอาบน้ำให้น้องหมา 3-7 วันหลังจากฉีดวัคซีน (เพราะส่วนใหญ่แล้วหลังอาบน้ำมักจะเช็ดตัวไม่แห้ง หรือไม่ได้ใช้ไดร์เป่าขนให้แห้ง ซึ่งอาจทำให้มีไข้มากขึ้นได้) รวมถึงกิจกรรมอื่น ที่อาจทำป่วย เช่นตากแดด ออกกำลังอย่างหนักเป็นต้น
ทำอย่างไร เมื่อสุนัขมีอาการแพ้
หากเกิดการแพ้เล็กน้อย เช่นมีลมพิษ หรือผื่นขึ้นตามลำตัวและใบหน้า ก็คงไม่มีปัญหาอะไรน่ากลัว เพราะเมื่อได้รับยาในกลุ่ม Antihistamine ก็จะทำให้ผื่นเหล่านั้นหายไปได้ แต่ในรายที่แพ้อย่างรุนแรง เช่นมีอาเจียน เดินเซ หน้าบวม หอบ หายใจลำบาก ผมแนะนำว่า ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วนจะดีกว่าครับ
เมื่อเจ้าตูบแพ้วัคซีนในปีนี้แล้ว ไม่จำเป็นว่าในปีต่อๆไปจะแพ้วัคซีนอีกครับ เพียงแต่ คุณหมอมักจะทำประวัติและเลี่ยงการฉีดวัคซีนในชุดผลิตนั้น หรือจากบริษัทนั้นให้แก่สุนัขตัวที่เคยแพ้ครับ
โดยปกติแล้ว สัตวแพทย์มักจะฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ แต่ละชนิดแยกกัน ในสัตว์อายุน้อย โดยมักจะนัดฉีดห่าง 1-2 สัปดาห์ เพื่อลดการกระตุ้นภูมิต้านทาน และเลี่ยงไม่ให้อาการแพ้รุนแรง อีกประการหนึ่งเมื่อแยกชนิดวัคซีนฉีด จะทำให้สามารถทราบได้ว่า สัตว์แพ้วัคซีนชนิดใดครับ
สิ่งที่สำคัญในการฉีดวัคซีนคือ หลีกเลียงการซื้อวัคซีนมาฉีดเอง หรือเลี่ยงฉีดโดยบุคคลที่ไม่ใช่สัตวแพทย์ เพราะจะได้มั่นใจถึงประสิทธิภาพของวัคซีนทั้งด้านการเก็บรักษาและวันหมดอายุ รวมถึงแก้ไขปัญกาที่จะเกิอดขึ้นได้ทันครับ
ในบางรายที่เคยมีประวัติการแพ้วัคซีน สัตวแพทย์อาจพิจารณาให้สัตว์ได้รับยาแก้แพ้ก่อนการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพ้ก็เป็นได้ครับ
ท้ายนี้ขอฝากไว้อีกนิดครับ วัคซีนในสุนัขและแมวนั้น นอกจากวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่มีอันตรายถึงชีวิตและติดต่อถึงคนแล้ว ยังมีวัคซีนอื่นที่จำเป็นอีก เช่น โรคไข้หัดสุนัข และโรคลำไส้อักเสบติดต่อเป็นต้น ส่วนในแมวก็จะมีวัคซีนป้องกันโรคไข้หัดแมว โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว รวมถึงโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในแมว (เอดส์แมว) อีกด้วย
นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนให้ลูกสุนัขเร็วกว่ากำหนด (โดยปกติทำที่ 6-8 สัปดาห์)นั้น ไม่ได้ช่วยให้สุนัขมีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น แต่กลับจะทำให้ภูมิคุ้มกันที่ได้จากแม่ (จากนมน้ำเหลือง หรือ colostrum) ถูกทำลายไปด้วย
ดังนั้น เมื่อมีลูกสุนัข หรือได้รับสุนัขใหม่มา สิ่งที่ควรทำสิ่งแรกเลย คือ การพาไปพบสัตวแพทย์ ไม่ใช่เพื่อฉีดวัคซีน แต่เป็นการขอรับคำปรึกษาและข้อแนะนำในการฉีดวัคซีน หรือการดูแลที่ถูกต้องครับ ทั้งนี้การทำวัคซีน นอกจากพิจารณาที่อายุแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคในพื้นที่นั้นๆ ด้วยครับ ติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โทร 02-218-9715 หรือ 02-218-9752 (คลินิกฉุกเฉินนอกเวลาราชการ ตลอด 24 ชั่วโมง)
อาจารย์นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี