เรื่องราวน่ารู้ในช่วงหน้าร้อนยังไม่หมดครับ ปัญหาที่มักก่อให้เกิดความหนักใจให้แก่เจ้าของสุนัขอีกเรื่อง นั่นก็คือ เห็บ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมตัวเล็กๆ ที่พบได้ตามผิวหนังของสุนัข รวมถึงตามผนังห้อง กำแพง สนาม หรือตามมุมต่างๆ ในบ้านครับ
เห็บสุนัข เป็นปรสิตภายนอกที่สำคัญของสุนัข มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhipicephalus sanguineus เห็บจะกินเลือดจากสุนัขเป็นอาหาร โดยมีอวัยวะพิเศษที่ปากยื่นออกมา และฝังลงไปที่ผิวหนัง ทำให้เห็บเกาะติดแน่นที่ผิวหนังของสุนัข
บางท่านมีความสับสนระหว่างหมัดและเห็บ เนื่องจากเห็บตัวอ่อนกับหมัดจะมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่หมัดจะเคลื่อนที่ค่อนข้างเร็วและกระโดดได้ ส่วนเห็บจะใช้การเดินซึ่งช้ากว่าหมัด
วงจรชีวิตของเห็บ มี 4 ระยะ
1.ไข่ (Eggs) มีสีน้ำตาลเข้ม ขนาดเล็กมาก มีไข (wax) หุ้ม
2.ตัวอ่อน (Larva) มี 6 ขา มีขนาดเล็กมาก เห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ผิวหนังสุนัขหรือบนพื้นผนัง ตัวอ่อนจะเริ่มดูดเลือดสุนัขจนตัวใหญ่ขึ้น แล้วหลุดออกจากตัวสัตว์ เพื่อไปลอกคราบ
3.ตัวกลางวัย (Nymph) สีน้ำตาลแดง มี 8 ขา มีขนาดใหญ่กว่าตัวอ่อนอย่างเห็นได้ชัด จะกลับขึ้นบนตัวสัตว์อีกเพื่อกินเลือด และเปลี่ยนสีเป็นสีเทาเข้ม มองเห็นเหมือนสะเก็ดหรือไฝที่ผิวหนังสุนัข จากนั้นจะหลุดออกจากตัวสัตว์เพื่อลอกคราบอีกครั้ง กลายเป็นตัวเต็มวัย
4.ตัวเต็มวัย (Adult) มี 8 ขา (เช่นเดียวกับแมงมุม) ตัวเต็มวัยนี้ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดย “ไม่ได้กินเลือด” ได้นานถึง 18 เดือนเลยทีเดียว ตัวเมียซึ่งได้รับการผสมพันธุ์แล้ว จะกินเลือดสุนัขจนตัวป่อง (engorge) คล้ายเมล็ดถั่ว เมื่อถึงเวลาวางไข่ เห็บตัวเมียนี้จะถอนส่วนปากที่ฝังในผิวหนังออกจากตัวสุนัขไปหาที่วางไข่ ตามซอกต่างๆ ในบ้าน ตามผนัง กำแพง เพดาน หรือมุมที่ค่อนข้างมืดและชื้น
ไข่จะใช้เวลาฟัก 1-2 สัปดาห์ โดยที่เห็บ 1 ตัวสามารถออกไข่ได้ถึง 1,000-3,000 ฟอง ภายในเวลา 2 เดือน ถ้าไม่เอาใจใส่ อาจพบเห็บทั้งบนตัวสุนัขและภายในบ้านเป็นจำนวนมากจนน่าตกใจเลยทีเดียวครับ
การบี้ให้เห็บตาย ส่วนใหญ่ไข่ของเห็บก็จะฝ่อไปด้วย หากทำให้เลือดเห็บแห้ง เนื่องจากไข่เห็บจะแห้งตาย เมื่อไข (wax) ที่หุ้มไข่อยู่แห้งลง อีกทั้งหากบี้เห็บในขณะที่ไข่ในระบบสืบพันธุ์นั่นยังไม่พัฒนาสมบูรณ์ ไข่ของเห็บก็จะไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ ดังนั้นประเด็นความเชื่อที่ว่าการบี้เห็บตัวบวมๆ แล้ว จะทำให้ไข่ที่อยู่ในตัวเห็บเจริญเป็นตัวอ่อนอีกนับพันตัวนั้น ก็มีความเป็นไปได้ต่ำมากครับ
เวลาเห็บกัด ก่อนที่จะกินเลือดสุนัข เห็บจะปล่อยสารต้านการแข็งตัวของเลือดไปที่รอยกัด ทำให้เลือดที่บริเวณแผลไม่แข็งตัว ไหลได้สะดวก เราจะสังเกตได้ว่า เมื่อเราดึงเห็บออกจากตัวสุนัข เลือดมักจะไหลหยดตามออกมา และหยุดยาก
เห็บเป็นตัวที่ก่อให้เกิดความผิดปกติต่างๆ ได้แก่ โรคผิวหนังจากการแพ้และคัน สุขภาพผิวหนังอ่อนแอ ที่สำคัญยังเป็นพาหะนำโรค ไข้เห็บ (Tick fever) หรือพยาธิเม็ดเลือด (Blood parasite) ซึ่งก่อให้เกิดสภาพโลหิตจาง และร่างกายทรุดโทรม ตามมาด้วย
โรคพยาธิในเม็ดเลือดนี้ มีเชื้อโปรโตซัวและริกเก็ตเซียเป็นตัวก่อโรค ได้แก่ กลุ่ม Ehrlichia, Babesia และ Hepatozoon
ในช่วงที่เห็บจะดูดเลือดนั้น เห็บจะปล่อยสารที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เข้าไปทางรอยที่กัด หากเห็บตัวนั้นมีเชื้อที่ก่อโรคอยู่ในตัวอยู่แล้ว เชื้อเหล่านั้นก็จะถูกปล่อยเข้าร่างกายสุนัขไปด้วย ทำให้สุนัขป่วย ซึ่งโรคพยาธิเม็ดเลือดนี้ มีอันตรายถึงชีวิต และน่ากลัวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า “ไข้เลือดออกในคน” เลยทีเดียว
การติดเห็บในสุนัขมักเกิดจากการติดจากสถานที่ต่างๆ ไม่ได้ติดต่อจากสุนัขด้วยกันเอง เนื่องจากเห็บจะปล่อยจากจุดที่กัดและหลุดจากสุนัขตัวหนึ่งก็ตอนที่เห็บจะลอกคราบเท่านั้น จะไม่มีการเปลี่ยนไปดูดตัวอื่นกลางคันเด็ดขาด
เมื่อเห็นสุนัขมีอาการคัน สุนัขจะใช้ขาเกาผิวหนัง เราลองใช้มือลูบตามตัวสุนัข โดยเฉพาะบริเวณที่เกา จะรู้สึกสะดุดมือเหมือนมีสะเก็ดที่ผิวหนัง และเมื่อแหวกขนไปสำรวจดู มักจะเห็นเห็บตัวดำๆ กลมๆ เกาะติดผิวหนัง ซึ่งมีขนาดเล็กๆ ตั้งแต่เป็นจุดเล็กๆ จนถึงมีขนาดใหญ่ เหมือนลูกเกดเม็ดบวมๆ ทีเดียวครับ
เมื่อพบว่ามีเห็บแล้ว เราควรกำจัดอย่างไรเป็นคำถามที่หมอถูกถามกันมาก สัปดาห์หน้า เราจะมารู้จักวิธีการกำจัดเห็บกันครับ
อาจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร. ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี