ก่อนที่คุณจะป่วยและต้องเข้ารับการรักษา จะดีกว่าไหมถ้าหากเรารู้เท่าทันโรคนั้นๆ และเตรียมการป้องกัน เสริมสุขภาพให้แข็งแรงไว้ก่อน
วันนี้เรามีความรู้เกี่ยวกับโรค "ภาวะขาดธาตุเหล็ก" ที่หลายคนคิดว่าเกิดได้เฉพาะกับเพศหญิงเพียงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งโรคนี้เกิดจากสาเหตุอะไร มีความอันตรายขนาดไหน และมีวิธีรักษาอย่างไร ไปอ่านกัน
ภาวะขาดธาตุเหล็กคืออะไร?
ภาวะขาดธาตุเหล็กหรือเกลือแร่เหล็ก (Iron deficiency) คือ ภาวะผิดปกติที่เกิดจากร่างกายขาดธาตุเหล็ก โดยทั่วไป มักเกิดจากขาดธาตุเหล็กในอาหารที่บริโภค หรือจากมีภาวะเลือดออกเรื้อรัง เช่น การมีแผลในกระเพาะอาหาร หรือในลำไส้ เป็นต้น
ต้นเหตุของโรค
ภาวะขาดธาตุเหล็ก เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะซีดหรือโลหิตจาง โดยเป็นสาเหตุให้เกิดโรค/ภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก ซึ่งภาวะซีดจากสาเหตุนี้พบได้บ่อยทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและในประเทศที่ด้อยพัฒนา ซึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว มักเกิดในผู้หญิงวัยยังมีประจำเดือน (พบประมาณ 4-8% ของหญิงวัยยังมีประจำเดือน) สาเหตุจากเสียเลือดจากความผิดปกติของประจำเดือน หรือขาดธาตุเหล็กในภาวะการตั้งครรภ์ หรือในภาวะให้นมบุตร เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการธาตุเหล็กสูงขึ้น ทั้งนี้ ภาวะขาดธาตุเหล็ก พบเกิดในผู้ชายและในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ได้น้อยกว่าในผู้หญิงวัยมีประจำเดือน
ในส่วนของประเทศด้อยพัฒนานั้น การขาดธาตุเหล็กเกิดได้ในทุกอายุ ทุกเพศ และทุกวัย จากภาวะขาดอาหารเนื้อสัตว์ จากปัญหาทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพราะธาตุเหล็กมีมากในเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นธาตุเหล็กที่มีคุณภาพ และเป็นชนิดที่ร่างกายดูดซึมได้ดี (Heme iron) ส่วนธาตุเหล็กที่มีในพืช ซึ่งราคาถูกกว่า เป็นธาตุเหล็กชนิดที่ดูดซึมได้ไม่ดี (Nonheme iron) การขาดอาหารเนื้อสัตว์จึงเป็นสาเหตุของการขาดธาตุเหล็ก จนก่อให้เกิดภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็กได้
ธาตุเหล็กมีประโยชน์และโทษอย่างไร?
ประโยชน์
-ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต้านโรค ช่วยการเจริญเติบ โตของเซลล์สมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเข้าใจและความจำ (Cognitive development)
-ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อต่างๆ และเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ต่างๆ ในการสันดาปพลังงาน นำพลังงานต่างๆ ไปใช้
โทษหรือผลข้างเคียงจากการมีธาตุเหล็กในร่างกายมากเกินไป
หากร่างกายได้รับธาตุเหล็กมากเกินไปอาจทำให้เกิดอันตรายถึงเสียชีวิตได้ โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย คือ
-ก่อการระคายเคืองต่อเยื่อบุต่างๆ โดยเฉพาะเยื่อบุทางเดินอาหาร เป็นสาเหตุให้มีเลือดออกในทางเดินอาหารได้ ทั้งจากกระเพาะอาหารและจากลำไส้ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ปวดศีรษะ หายใจลำบาก อ่อนเพลีย วิงเวียน น้ำหนักลด/ผอมลง ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเทา
-มีผลกดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค (ติดเชื้อได้ง่าย) และอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิด โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง หรือโรคมะเร็งได้
-ส่งผลต่อการทำงานของ ไขกระดูก ตับ ไต หัวใจ ปอด และสมอง ก่อให้เกิด อาการอ่อนเพลียมากขึ้น ภาวะซีด หัวใจเต้นผิดปกติ ตัวเขียวคล้ำ ชัก ตับวาย ไตวาย โคม่า และเสียชีวิตได้ในที่สุด
ดังนั้น จึงไม่ควรกินธาตุเหล็กเสริมอาหารเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะในเด็ก
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
-ร่างกายได้รับธาตุเหล็กจากอาหารไม่เพียงพอ
-จากโรคเรื้อรังที่ส่งผลให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อย เช่น โรคอักเสบเรื้อรังของกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ภาวะกระเพาะอาหารขาดกรด (Achlorhydria) และในโรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง
-ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่ลดการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น กินแคลเซียมเสริมอาหารหลังกินอาหารทันที ยาลดกรด หรือยาเคลือบกระเพาะอาหาร เป็นต้น
-กิน/ดื่มเครื่องดื่มที่มีสารต้านการดูดซึมธาตุเหล็กในปริมาณสูงต่อเนื่อง เช่น ชา กาแฟ
-ภาวะที่ร่างกายต้องการธาตุเหล็กมากขึ้น ได้แก่ ช่วงวัยที่กำลังมีการเจริญเติบโต เช่น ทารกในครรภ์และในวัยเด็ก ช่วงการตั้งครรภ์ ช่วงให้นมบุตร การเสียเลือดเรื้อรัง เช่น มีเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร และ/หรือลำไส้ หรือจากโรคริดสีดวงทวาร มีพยาธิลำไส้บางชนิด เช่น พยาธิปากขอ พยาธิตัวกลม วัยมีประจำเดือนและมีประจำเดือนออกมากในแต่ละเดือน หรือหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
ภาวะขาดธาตุเหล็ก มักพบได้ในผู้หญิงสูงกว่าในผู้ชาย เนื่องจากร่างกายผู้ชายเก็บสะสมธาตุเหล็กได้สูงกว่าในผู้หญิงไม่ต้องเสียเลือดจากประจำเดือน ไม่มีการตั้งครรภ์และไม่ได้ให้นมบุตรซึ่งทั้งสองภาวะหลัง เป็นภาวะที่ทำให้ร่างกายต้องการธาตุเหล็กสูงกว่าปกติ จึงก่อให้เกิดการขาดธาตุเหล็กได้ง่าย อย่างไรก็ตามเพศชายก็สามารถเป็นได้จากอาการต่อไปนี้
-หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร
-ทารกในครรภ์ และวัยเด็ก
-หญิงที่มีประจำเดือนมากทุกเดือน
-มีเลือดออกเรื้อรัง เช่น โรคริดสีดวงทวาร
-มีโรคเรื้อรังของทางเดินอาหาร เช่น ลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
ขาดธาตุเหล็กแล้วจะมีอาการอย่างไร?
-อาการสำคัญที่สุดจากขาดธาตุเหล็ก คือ ภาวะซีด (โลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก)
-อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย วิงเวียน สับสน ผมร่วง
-สติปัญญาด้อยลง
-ติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย
-ลิ้นอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อ
-อยากอาหารรสชาติแปลกๆ
แนวทางการรักษา
-ให้ธาตุเหล็กเสริมอาหาร อาจโดยการกินหรือการฉีด ทั้งนี้ขึ้นกับความรุนแรงของอาการและสาเหตุของโรค และการให้อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
-การรักษาสาเหตุ เช่น ยาถ่ายพยาธิเมื่อการขาดธาตุเหล็กเกิดจากพยาธิ รักษาภาวะประจำเดือนผิดปกติเมื่อมีเลือดประจำเดือนออกมาก เป็นต้น
-การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การให้เลือด กรณีเลือดออกมาก หรือซีดมากจนเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นต้น
วิธีป้องกันและดูแลตนเองเมื่อขาดธาตุเหล็ก
การดูแลตนเองที่สำคัญที่สุด คือการป้องกันตนเองไม่ให้เกิดภาวะขาดธาตุเหล็ก โดยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็ก และควรพบแพทย์เมื่อตนเองอยู่ในกลุ่มมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดธาตุเหล็ก เพื่อการรักษาสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้น เมื่อมีอาการต่างๆ ดังกล่าวแล้วในหัวข้ออาการ ควรพบแพทย์เสมอ เพื่อการตรวจวินิจฉัยและการรักษาแต่เนิ่นๆ หลังจากนั้นควรปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาลแนะนำ ซึ่งที่สำคัญ คือ
-กินยาต่างๆ ที่แพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
-กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
-รักษา ควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง
-ไม่ซื้อธาตุเหล็กเสริมอาหารกินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพื่อป้องกันโทษ/ผลข้าง เคียงจากธาตุเหล็ก
-พบแพทย์ตามนัดเสมอ หรือ รีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆ ไม่ดีขึ้น แย่ลงหรือผิดปกติไปจากเดิม
-รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) ป้องกันโรคพยาธิต่างๆ
เสริมร่างกายด้วยอาหารที่มีธาตุเหล็ก
ธาตุเหล็ก (Iron) เป็นธาตุอาหารสำคัญที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องได้จากอาหารอย่างเพียงพอ อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ปลา เป็ด ไก่ ตับ ม้าม ไข่แดง อาหารเช้าซีเรียล (Cereal) หรือนมที่เสริมอาหารด้วยธาตุเหล็ก ในพืช เช่น ผักที่มีใบเขียวเข้มทุกชนิด เช่น ใบตำลึง ผักโขม ถั่วแดง ถั่วดำ ข้าวโอต ธาตุเหล็กจะถูกดูดซึมในส่วนของลำไส้เล็ก ซึ่งธาตุเหล็กจากแหล่งอาหารที่มาจากสัตว์ จะถูกดูดซึมได้ดีกว่าจากแหล่งอาหารที่มาจากพืช เมื่อดูดซึมแล้ว ส่วนหนึ่งจะถูกนำไปใช้งาน บางส่วนร่างกายจะสะสมไว้ใน ตับ ม้าม และไขกระดูก ทั้งนี้ ในภาวะปกติ ร่างกายจะกำจัดธาตุเหล็กส่วนเกินออกทางตับ (ทางน้ำ ดี) และทางไต (กำจัดออกทางปัสสาวะ แต่ในปริมาณน้อยมาก)
ข้อสังเกต
ธาตุเหล็กจะดูดซึมได้ดีในภาวะที่น้ำย่อยอาหารมีความเป็นกรด ดังนั้น ยาเคลือบกระเพาะอาหาร และยาลดกรด จึงลดการดูดซึมของธาตุเหล็ก ส่วนวิตามินซี และอาหารที่มีวิตามินซีสูง จะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี ซึ่งสารที่ลดการดูดซึมธาตุเหล็ก มีดังนี้
-ยาบางชนิดดังกล่าวแล้ว
-สาร Tannin ในชาและกาแฟ เมื่อบริโภคในปริมาณสูง
-อาหารที่มีใยอาหารสูงและอาหารที่มีแคลเซียมสูง
ที่มา : haamor
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี