นักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสไปปารีสหลายวัน นอกจากพระราชวังแวร์ซายน์แล้ว ปราสาทหนึ่งที่ต้องไปให้ได้ก็คือ Chateau de Chambord ปราสาทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก การเดินทางไปประสาทนี้ไม่ยากหากไปในฤดูใบไม้ผลิและร้อน แต่อาจยุ่งยากหากไปนอกฤดูทั้งสองโดยเฉพาะฤดูหนาว นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวเองต้องเช็คเวลารถบัสให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจหารถไปไม่ได้เลย หากนักท่องเที่ยวไปนอกฤดู และไม่มีรถบัส แต่ต้องการไปจริงๆ อาจต้องซื้อทัวร์ 1 วัน จากปารีสไปแทน หากนักท่องเที่ยวไปเที่ยวปราสาทแห่งนี้ในฤดูท่องเที่ยวสามารถออกเดินทางจากปารีสที่สถานี Gare Austerlitz โดยรถ Intercity ที่ไม่ต้องจองก่อนหากใช้ France Pass ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง แล้วไปต่อรถบัสที่เมือง Blois ตรงหน้าสถานีรถไฟไปอีกประมาณชั่วโมง การซื้อตั๋วรถบัสจะขายแบบไปกลับ 6 เหรียญ
Chateau de Chambord เป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโลกจากสถาปัตยกรรม French Renaissanceซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสยุคกลางและเรอเนสซองส์แบบคลาสสิกปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในลุ่มน้ำลัวร์ที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้การบัญชาของพระเจ้า Francis Iแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยมีเป้าหมายไว้ใช้เป็นที่ประทับของพระองค์เมื่อออกล่าสัตว์ เป็นที่เชื่อกันว่าสถาปนิกผู้ออกแบบคือ Domenico da Cortona โดยมี ลีโอนาโด ดาวินชี่ เข้าร่วมช่วยเหลือบ้าง ปราสาทแห่งนี้ถูกเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลายครั้งระหว่างก่อสร้าง 20 ปีภายใต้การกำกับดูแลของ Pierre Nepveu
แม้พระเจ้า Francis I จะเสียราชทรัพย์มากมายไปกับการสร้างปราสาทแห่งนี้ไว้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของฝรั่งเศส แต่พระองค์กลับใช้เวลาที่นี่ไม่ถึง 7 สัปดาห์ตลอดรัชกาล ยิ่งกว่านั้นการที่พระองค์ไม่ได้ประสงค์จะใช้ที่นี่เป็นที่ประทับถาวร ประกอบกับการออกแบบเพดานสูงซึ่งทำให้ต้องใช้การทำความร้อนมากมายจนไม่เหมาะจะอาศัยซํ้าร้ายปราสาทแห่งนี้ยังอยู่ห่างไกลจากเมืองมากจนไม่มีอาหารเพียงพอยกเว้นสัตว์ที่ล่าได้เท่านั้นจึงทำให้ที่นี่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ถาวร เมื่อใดที่พระองค์มาประทับ ข้าราชบริพารจะต้องนำเฟอร์นิเจอร์และอาหารมาด้วยทุกครั้ง อย่างไรก็ดีปราสาทแห่งนี้ได้มีโอกาสแสดงความยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสสมใจพระองค์หนึ่งครั้งนั่นคือ ได้มีโอกาสต้อนรับพระจักรพรรดิ Charles V แขกสำคัญของพระองค์
ปราสาทที่ถูกออกแบบให้ก่อสร้างตามแบบศิลปะเรอเนสซองส์นี้แตกต่างจากปราสาทอื่นๆ ตรงที่ไม่มีเครื่องป้องกันอะไรมากมายเพราะเจ้าของไม่ได้ต้องการใช้ปราสาทแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยถาวร ดังนั้นทั้งหอคอย คูเมืองและกำแพงก็มีไว้เพื่อการตกแต่งเฉยๆ ยิ่งกว่านั้นการออกแบบหน้าต่าง ระเบียงและบริเวณด้านนอกล้วนยืมแบบมาจาก Italian Renaissance ส่งผลให้ภายในอาคารหนาวเย็นไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยในฤดูหนาว ส่วนของหลังคาแตกต่างจากปราสาททั่วไปตรงที่มันอวดให้เห็นถึงหอคอย 11 แบบ และปล่องไฟ 3 แบบ ที่ไม่สมมาตรซึ่งใกล้เคียงกันกับลักษณะสถาปัตยกรรมของอิตาลีตอนเหนือ และแบบ Leonardesque จุดเด่นที่สุดของอาคารก็คือ บันได 274 ขั้นที่เป็นวงสองชั้นกลางปราสาทที่ใช้ขึ้นลงอาคาร 3 ชั้น โดยที่ผู้เดินขึ้นลงจะไม่เห็นกันเลยเฉกเช่นเดียวกันกับบันไดของปราสาท Blois ซึ่งเชื่อกันว่าออกแบบโดยลีโอนาโด ดาวินชี่
หลังจากพระเจ้า Francis I สิ้นพระชนม์ปราสาทก็ถูกละทิ้งจนพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ได้มอบปราสาทแห่งนี้ให้กับ Gaston d’Orleans พระอนุชา ต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้หวนกลับมาใช้ปราสาทแห่งนี้เป็นที่พำนักในช่วงที่พระองค์มาล่าสัตว์อีกครั้ง พระองค์จึงขนย้ายเฟอร์นิเจอร์จากวังหลวงบางส่วนมาไว้พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ได้มอบปราสาทนี้ให้เป็นที่พำนักของ Stanislas Leszczynski อดีตกษัตริย์โปแลนด์พระบิดาของพระมเหสี หลังปี 1745 พระองค์มอบปราสาทแห่งนี้ให้กับ Maurice de Saxe เพื่อใช้ในกิจการทหาร
ในช่วงต้นของการปฏิวัติฝรั่งเศส เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นได้ถูกเคลื่อนย้ายไป ประตูหลายบานก็ถูกเผามาทำฟืนเพื่อสร้างความอบอุ่น แม้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปราสาทแห่งนี้จะถูกเปลี่ยนหลายมือและได้รับการปรับปรุงบ้าง แต่ภายหลังในช่วงสงคราม Franco Prussian ที่นี่กลับถูกใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม หลังจากปราสาทกลายเป็นสมบัติของรัฐบาลฝรั่งเศส ปราสาทแห่งนี้ได้กลายเป็นที่เก็บของสะสมของพิพิธภัณฑ์ Lourve ในช่วงสงครามโลก เป็นที่โชคดีของประชาคมโลกที่ปราสาทไม่ถูกทำลายในช่วงสงครามเพราะระเบิดได้ลงเพียงแค่ส่วนสนามเท่านั้น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ปราสาทได้ถูกปรับปรุงครั้งใหญ่จริงๆ จนมีสภาพเฉกเช่นที่นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเยี่ยมชมอยู่ในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวที่มีโอกาสไปเยือนปราสาทและหวังจะได้ชื่นชมสมบัติบ้าง คงผิดหวัง เพราะภายในปราสาทแทบมีสมบัติอะไร นอกจากของจัดแสดงจากการล่าสัตว์ของกษัตริย์หลายพระองค์เท่านั้น อย่างไรก็ดีการได้เดินเที่ยวในอาคารโดยเฉพาะการขึ้นลงบันได และถ่ายรูปกับปราสาทแห่งนี้ทั้งจากด้านนอกบริเวณสนามและหลังคาก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดคุ้มค่ากับการเดินทางมายังปราสาทนี้อย่างแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี