เฮลโล คิตตี้ (Hello Kitty) ตัวการ์ตูนแมวญี่ปุ่นสีขาวติดโบสีแดงขวัญใจเด็กผู้หญิงและสาวๆ ทั่วโลกมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ที่บริษัท ซานริโอ ประเทศญี่ปุ่น เจ้าของลิขสิทธิ์ผลิตขึ้นเอง รวมถึงขายลิขสิทธิ์ให้ผู้ผลิตสินค้านำไปจัดจำหน่าย ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าใครจะได้ลิขสิทธิ์ง่ายๆ แต่ด้วยประสบการณ์ด้านการจัดจำหน่ายเครื่องสำอางมานานกว่าครึ่งชีวิตของ อภิณห์พร เสรีเลิศวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิเวอร์แซล คอสเมติคส์ จำกัด เธอสามารถคว้าลิขสิทธิ์เจ้าแมวสาวสุดน่ารักตัวนี้มาสร้างสรรค์ เครื่องสำอางเฮลโล คิตตี้ รายแรกและรายเดียวในประเทศไทยมานานกว่าสิบปี

อภิณห์พร เล่าถึงจุดเริ่มต้นการทำธุรกิจว่าแต่เดิมเป็นลูกจ้างอยู่ในบริษัทห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โดยความรับผิดชอบคือ แผนกเครื่องสำอางแบรนด์ดัง ทำให้คลุกคลีกับแวดวงเมคอัพเป็นอย่างดี จนกระทั่งวันหนึ่งรู้สึกว่าการเป็นลูกจ้างเขาก็ดี แต่ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอ จึงคิดที่จะออกมาค้าขาย มีธุรกิจที่เป็นนายของตัวเอง จึงอาศัยประสบการณ์ในแวดวงเครื่องสำอาง มาเปิดบริษัทนำเข้าเครื่องสำอางจากประเทศเกาหลี เข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย เมื่อปี 2546

“ตอนนั้นเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ว่าเราอยู่กับเครื่องสำอางมานาน ก็เห็นช่องทางที่จะขายโดยไม่ต้องทำเคาน์เตอร์เซลส์ ไม่ต้องมีพนักงาน แต่เราติดต่อร้านที่เขาขายเครื่องสำอาง ถือว่าดีมากๆ เลย ทำอยู่ 3 ปี ก็ได้รับการติดต่อจากตัวแทนซานริโอ ประเทศญี่ปุ่นว่า อยากให้เราทำเครื่องสำอางเฮลโล คิตตี้ เพราะขณะนั้น เฮลโล คิตตี้ยังไม่ได้ผลิตเครื่องสำอางแบบครบทุกสินค้า ตอนแรกก็ยังสองจิตสองใจ เพราะเครื่องสำอางเกาหลีที่นำเข้ามาก็ยังทำยอดขายได้ดี ที่สำคัญคือ การลงทุนการซื้อลิขสิทธิ์นั้นค่อนข้างใช้เงินเยอะ”

แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบถึงความเป็นไปได้ และความชอบ เฮลโล คิตตี้ เป็นการส่วนตัว ทำให้ อภิณห์พร มองเห็นโอกาสและช่องทางการจำหน่ายที่ทำให้มั่นใจว่า เครื่องสำอางเฮลโล คิตตี้ จะประสบความสำเร็จในประเทศไทย จึงตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ เฮลโล คิตตี้ มาเพื่อผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอาง ภายใต้บริษัท ซานริโอประเทศญี่ปุ่น แต่กว่าจะผลิตสินค้าออกวางจำหน่ายได้กินเวลาเกือบปี

“การหาโรงงานผลิตการนำเข้าวัตถุดิบ จนออกมาเป็นเครื่องสำอางแต่ละชนิดไม่ยากเลย สิ่งที่ยากคือ การพิมพ์ลายบรรจุภัณฑ์ ทาง ซานริโอ ประเทศญี่ปุ่นมีความละเอียดมาก แค่โบหรือแม้แต่หนวดเอียงผิดองศาก็ไม่ได้ เวลาที่จะมีการเปลี่ยนลายบนแพ็กเกจจิ้งต่างๆ จะต้องส่งให้ ซานริโอ ประเทศญี่ปุ่น ตรวจแบบอนุญาตก่อนทุกครั้ง”

เครื่องสำอาง เฮลโลคิตตี้ ภายใต้ลิขสิทธิ์ ซานริโอ ประเทศญี่ปุ่น ที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดย บริษัท ยูนิเวอร์แซล คอสเมติคส์ จำกัด ไม่ใช่แค่รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย แต่ยังนับว่าเป็นรายเดียวของโลกที่ผลิตเครื่องสำอางครบทุกไลน์

“ในปีแรกด้วยภาพลักษณ์ของ เฮลโล คิตตี้ทำให้เราเน้นผลิตเครื่องสำอางที่เหมาะกับเด็กเราจึงเน้นการใช้วัตถุดิบที่อ่อนโยนต่อผิวของเด็กเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งก็ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากซานริโอ ประเทศญี่ปุ่น ก่อนเช่นกัน แต่พอไปวางขายจริงๆ ปรากฏว่าลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นวัยทำงาน สูงกว่าลูกค้าที่เป็นเด็ก จึงทำให้เราเน้นลูกค้าในกลุ่มนี้มากขึ้น จากที่ผลิตเพียงแป้งพัฟ บรัชออนและลิปกลอส ก็เพิ่มไลน์ รองพื้น อายแชโดว์ มาสคาร่าลิปสติก ครีมกันแดด ครีมบำรุงผิวหน้าและผิวกาย รวมๆ แล้วมีทั้งหมด 16 ไลน์ผลิตภัณฑ์ ส่วนราคาก็ไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับคุณภาพ ราคาเริ่มต้น 100-500 บาท”

ในเรื่องของช่องทางการจัดหน่าย ถ้าใครที่เป็นสาวก เฮลโล คิตตี้ และ ซานริโอ ก็เจอเครื่องสำอางเฮลโล คิตตี้ ได้ไม่ยาก เพราะจะมีจุดจำหน่ายอยู่ในเคาน์เตอร์ของซานริโอ ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำอยู่แล้ว

“ในเรื่องยอดขายจะไปเทียบกับเครื่องสำอางแบรนด์เนมใหญ่ๆ คงเทียบไม่ได้ แต่ก็ถือว่ายอดขายเป็นที่น่าพอใจ เพราะตลาดเรื่องสุขภาพและความงามไม่ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดีอย่างไร แต่สาวๆ ก็ยังรักสวยรักงาม ทำให้สินค้ากลุ่มนี้ยังมีการเติบโต ไม่อย่างนั้นซานริโอคงไม่ต่อสัญญาจากที่เคยทำกันปีต่อปี ก็มาเป็นต่อสัญญาทุก 3 ปี”

อภิณห์พร ยังบอกอีกว่า การที่ซานริโอ ยังต่อสัญญาลิขสิทธิ์กับบริษัทเล็กๆ ของเธอ มาถึงปัจจุบัน ปัจจัยหนึ่งคงมาจากบริษัทแม่อย่างซานริโอ มองเห็นความตั้งใจจริงในการสร้างสรรค์สินค้าที่มีคุณภาพ การทำตลาดอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ถึงวันนี้ก็ 11 ปีแล้ว และในบางโอกาสก็ยังได้ลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนอื่นๆ ของซานริโอ มาผลิตเครื่องสำอาง เช่นมาย เมโลดี้, ชินนามอนโรล, ลิตเติ้ล ทวิน สตาร์ เป็นต้น

“การทำธุรกิจอะไรก็ตาม มันต้องเจอปัญหาอุปสรรค แต่เราจะไปคิดว่ามันเป็นอุปสรรคไม่ได้ แต่เราคิดหาหนทางแก้ไขมันไปให้ได้ เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามถึงจะเป็นลูกจ้าง หรือเป็นเจ้าของธุรกิจ ทุกคนต้องพบกับปัญหาทั้งนั้น การทำงานมันต้องมีปัญหามาให้แก้ ถ้าไม่มีปัญหาเลยแสดงว่าเราไม่มีงานให้ทำ ทุกวันนี้ตัวเราเองก็ทำธุรกิจไม่ได้หวังว่าเราจะรวยเป็นมหาเศรษฐี เพราะว่าผ่านชีวิตจากที่ไม่มีอะไร ได้ทำงานบริษัทใหญ่ๆ เงินเดือนสูง บริษัทส่งไปต่างประเทศ เคยมีความคิดแค่ว่าทำงานเป็นลูกจ้าง ลูกเรียนจบ ก็เกษียณพอดี ก็คงจะสบายแล้ว ไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นเจ้าของธุรกิจ

แต่ก็มาทำตอนอายุ 50 แล้ว บางทีมาย้อนคิดดูเสียดายนะว่าทำไมเราไม่คิดออกมาทำธุรกิจตัวเองให้เร็วกว่านี้ แต่ก็ไม่เป็นไร ทุกวันนี้ก็ถือว่าพอใจ เราอยู่อย่างพอเพียงนะ แบบให้เลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงพนักงานได้ผลิตสินค้าดีๆ มีคุณภาพ ให้ลูกค้าได้ใช้ในราคาเบาๆ ก็ภูมิใจในสิ่งที่ทำ” อภิณห์พร กล่าวทิ้งท้าย