ม.ร.ว.ยงยุพลักษณ์ เกษมสันต์ เล่าว่า“ในฐานะที่เคยเป็นอาจารย์อยู่ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯมาก่อน ซึ่งในยุคนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงอยู่ในช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินในที่ต่างๆ มากมาย มีอยู่สิ่งหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟังคือ เรื่องมูลนิธิราชประชาสมาสัยเนื่องมาจากการที่เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ แล้วได้ทรงมีพระราชปณิธานไว้ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ประโยคสั้นๆ นี้ค่ะก็ทำให้พระองค์ได้เสด็จไปในที่ต่างๆ ได้ไปทอดพระเนตรถึงความยากลำบากต่างๆ ของประชาชน
แล้วรู้สึกว่าจะเป็นผู้คนซึ่งเป็นโรคเรื้อน ซึ่งแต่ก่อนคนจะรังเกียจมาก แล้วก็ได้ถูกทอดทิ้ง พระองค์ท่านไม่ได้ทรงรังเกียจเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งจะเข้าไปสัมผัสด้วยพระองค์เอง ด้วยพระหัตถ์ เรียกว่าสัมผัสไม่ใช่เพียงทอดพระเนตร สัมผัสกับคนพวกนั้นซึ่งทำให้คนพวกนั้นรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเหลือ ที่ไม่ได้ทรงรังเกียจ แล้วในพระราชหฤทัยของพระองค์ท่านก็สงสารคนพวกนั้นมาก จากวันนั้นเป็นต้นมา มูลนิธิราชประชาสมาสัย ก็เกิดขึ้นจากน้ำพระทัยที่ทรงมีพระเมตตาต่อคนซึ่งถูกสังคมรังเกียจ
อันนี้เป็นสิ่งที่เชื่อว่า พอเวลาคนเริ่มเห็นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงสัมผัสกับคนพวกนี้ได้ ก็ทำให้ความคิดที่เคยกลัวมากๆ เริ่มเปลี่ยนไป แล้วก็ทรงแสดงน้ำพระทัยที่ทรงมีต่อชีวิตทุกชีวิต ว่าเป็นชีวิตที่ท่านจะต้องทรงดูแลปกป้อง นี่ค่ะเป็นสิ่งที่ประทับใจมากเหลือเกินพูดถึงทีไรก็อยากจะร้องไห้ทุกที
อีกอย่างที่อยากจะเล่าคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับ สมเด็จพระราชชนนี ซึ่งเราเรียกว่า สมเด็จย่า มีอยู่สิ่งหนึ่งที่คนไทยประทับใจมากก็คือ ทุกครั้งที่เสด็จฯ ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชชนนี ก็จะทรงกราบที่พระเพลาหรือที่ตัก จะทรงหอมแก้ม จะทรงกอด คือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีสมเด็จพระราชชนนีซึ่งเป็นสามัญชน เพราะฉะนั้นสมเด็จพระราชชนนีก็ทรงเลี้ยงพระราชโอรส พระราชธิดาทุกพระองค์มาอย่างเหมือนกับคนธรรมดา ติดดินมาก เพราะฉะนั้นความรัก ความรู้สึกของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับสมเด็จพระราชชนนี ก็เหมือนกับบ้านๆ เราทุกบ้านไงคะ พระองค์ท่านไม่เคยเรียก สมเด็จพระราชชนนีว่า สมเด็จแม่ หรืออะไร ท่านเรียกเหมือนเราเรียกแม่ว่า แม่
ซึ่งคำว่า แม่ มันจะเป็นสิ่งซึ่งกินใจที่สุดสำหรับผู้ที่เป็นแม่ทุกคน แล้วก็ความรู้สึกของเลือดในอกที่เรียกเราคำนี้นะคะ แล้วทั้งสองพระองค์สนิทกันมากเพราะว่าสมเด็จพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ ขณะในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระเยาว์มาก ประมาณพระชนม์ได้3 ชันษาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นสมเด็จพระราชชนนีจึงทรงเป็นยิ่งกว่าแม่ ท่านทรงเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ที่อบรมลูกมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ถึง 2 พระองค์
แล้วเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่คนไทยรักมากเหลือเกิน โดยเฉพาะ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งคนไทยต้องบอกว่าทุกครั้งที่เวลาคนไทยเห็นรูปของพระองค์ท่านเวลาเสด็จพระราชดำเนินในที่ต่างๆ ยิ่งปัจจุบันเวลามาดูข่าวเก่าๆ พูดง่ายๆ คือร้องไห้ทุกคน แล้วทราบไหมคะว่าทำไมคนที่ได้ดูภาพนั้นแล้วถึงได้ร้องไห้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ซึ่งสลายชนชั้นวรรณะ แต่ก่อนนี้ต่อให้พระเจ้าอยู่หัวองค์ไหนจะมีพระมหากรุณาธิคุณกับราษฎรอย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีองค์ไหนที่ได้ลงไปสัมผัสแตะต้อง คือพระองค์ทรงโน้มพระวรกายลงไปหาราษฎร ซึ่งอันนี้จะเรียกว่าอะไรดี มันยิ่งกว่าประชาธิปไตยใช่ไหมคะ สลายชนชั้นทั้งหมดเลย
ภาพหนึ่งที่ทุกคนคงประทับใจมากคือ ภาพของคุณยายท่านหนึ่งศีรษะขาวหมดเลย แล้วก็บนหัวถือดอกบัว ซึ่งเหี่ยวมากแล้ว เพราะว่ามาเฝ้าฯรับเสด็จนานมาก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงโน้มพระวรกายลงไป ดูในรูปจมูกของพระองค์นะ หรือว่าพระนาสิกของพระองค์อยู่บนหัวของสตรีคนนั้นเลย ซึ่งจริงๆ แล้วบางคนอาจจะบอกว่า อาจจะมีกลิ่น อาจจะมีความน่ารังเกียจอะไรก็แล้วแต่ เพราะเป็นคนจน แต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไม่เลย แล้วก็อีกรูปหนึ่งซึ่งทุกคนก็จะประทับใจมากคือ ประทับนั่งกับพื้นโดยที่ไม่มีเสื่อ ไม่มีพรม ตรัสกับชาวบ้าน ซึ่งไม่มีใดๆ ทั้งสิ้น ทำพระองค์เหมือนกับพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของพสกนิกรของพระองค์เลย พระราชทานความใกล้ชิดสนิทสนมมาก
ส่วนเรื่องพระราชจริยวัตรที่งดงามของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทุกคนประทับใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ภาพที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงลงไปประทับนั่งบนพื้นดินกับประชาชน ซึ่งสมัยก่อนโดยกฎมณเฑียรบาลจะไม่ได้เลย พระเจ้าอยู่หัวจะประทับที่ใดก็ตาม ต้องมีพระราชอาสน์ มีพรม แล้วเวลาเสด็จฯที่ไหนต้องมีร่มหรือพระกลดกางกั้นตลอด แต่ตอนนี้เท่าที่ดูเสด็จฯบนภูเขา เสด็จฯในน้ำ เสด็จฯเยี่ยมราษฎร ต้องบอกว่าถ้าภาษาชาวบ้านคือเดินตัวปลิวไม่มีร่ม ไม่มีอะไรเลย ตรงนี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความที่ทรงอยากใกล้ชิดชาวบ้าน แล้วก็แสดงให้เห็นถึงว่าทรงมีความอดทนเหลือเกิน
แล้วนอกจากนั้นพระองค์ท่านยังทรงมีความรู้สึกว่า พระองค์ท่านก็เหมือนกับประชาชนของพระองค์ เป็นชีวิตหนึ่งเหมือนกัน พระองค์ท่านถึงพระราชทานความเป็นกันเองให้กับราษฎรขนาดนั้น แล้วก็เป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งขอบอกว่าในโลกนี้ไม่มี เพิ่งจะมามีตามขึ้นอีกองค์ก็เจ้าชายจิกมีเท่านั้นเอง ที่ได้พระราชทานความสนิทสนม ความเป็นกันเองให้กับประชาชน เสมือนหนึ่งว่าท่านเป็นส่วนหนึ่งของประชาชนเหมือนกัน อันนี้ก็ต้องขอยกย่องเทิดทูนสมเด็จพระราชชนนีได้ทรงเลี้ยงมาอย่างวิเศษที่สุด ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกจะเป็นอย่างนี้อีกแล้ว
อย่างตอนที่ประทับที่โลซานน์ สมเด็จพระราชชนนีทรงเลี้ยงพระราชโอรส พระราชธิดาแล้วก็บอกว่าไปทรงเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่ แต่ไม่ทรงเช่าชั้นบน เพราะรู้ว่าลูกยังเป็นเด็ก อาจจะเล่นเสียงดังอาจจะมีเสียงของหล่นบนพื้น แล้วคนข้างล่างจะรำคาญก็เลยตัดสินพระทัยว่าขอเช่าห้องข้างล่าง เพื่อเวลาเด็กเล่นจะได้ไม่เสียงดัง ของหล่นก็จะไม่ทำความรำคาญให้กับคนอื่น อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องบอกว่างดงามมาก คือทรงคิดถึงทุกอย่างที่คนอยู่รอบข้างจะได้รับผลกระทบ และก็เพราะอย่างนั้น เวลาที่สมเด็จพระราชชนนี ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าแล้วสมเด็จพระพันวัสสาฯ ทรงเรียกพระราชชนนีว่า สังวาลย์ ตรัสว่าพระองค์ทรงมีความภาคภูมิใจในพระสุณิสาที่ได้เลี้ยงหลานท่านมาอย่างดีที่สุด
ต้องบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ เป็นเพราะว่าสมเด็จพระราชชนนีทรงเลี้ยงดู ทรงอภิบาลพระราชโอรส พระราชธิดาได้เป็นอย่างดี เหมือนสิ่งหนึ่งที่คุณสมเถาสุจริตกุล เขียนคำตอบให้กับฝรั่งบอกว่า พระเจ้าแผ่นดินของไทยทรงเป็นเทพ แต่เป็นเทพที่ทรงใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ปกติ เพราะฉะนั้นมนุษย์ปกติจึงได้รัก จึงได้เทิดทูน และจึงได้รู้สึกว่าหวงแหนพระองค์ท่านอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ปกติแล้ว ถ้าเป็นพวกระบบของกษัตริย์ฝรั่งเขาอาจจะมองว่า กษัตริย์ไม่จำเป็นต้องลงมาทำถึงขนาดนี้ เพราะว่ามีหน่วยงานอื่นๆ ที่จะทำให้อยู่แล้ว แต่ใครจะทำถวายได้ดีเท่ากับทรงงานด้วยพระองค์เอง ไม่มีอีกแล้วค่ะ
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่ามีโครงการในพระราชดำริมากมาย 4,000 กว่าโครงการ ซึ่งทั้งหมดนี้หลายๆ คนก็เคยพูดทำนองว่า เราก็มีกระทรวงทบวง กรม ต่างๆ ตั้งมากมาย ทำไมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ต้องทรงเหนื่อย หลายๆ คนก็ตอบว่าทรงเหนื่อย เพราะว่าทรงไปเห็นว่าชาวบ้านเดือดร้อน ก็ทรงลงมาแก้ปัญหาด้วยพระองค์เอง เพราะว่าพระองค์รู้ว่าเมื่อเห็นปัญหาของชาวบ้านแล้วคนที่จะแก้ปัญหาได้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นพระองค์ เพราะว่าถ้ารอให้คนอื่นแก้ ชาวบ้านคงต้องเดือดร้อนอีกนาน ก็คงจะไม่มีใครได้เดินเข้าไปดูปัญหาของชาวบ้านใกล้ชิดเหมือนกับพระองค์เอง รัฐมนตรีกี่สมัยๆ ก็ทำไม่ได้เท่าที่พระองค์ทรงทำมาตลอดระยะเวลา 70 ปีนี้เลยนะคะ
เวลาเห็นภาพเสด็จพระราชดำเนินบนภูเขาเป็นลูกๆ ลุยลงไปในลำธาร หลายๆ คนบอกว่านี่เป็นภาพที่ไม่สามารถที่จะหากษัตริย์ที่ไหนทำแบบนี้ได้อีกแล้ว ทรงขับรถเองลุยน้ำไปขนาดนั้น น้ำท่วมประมาณครึ่งคันเลย ซึ่งแลนด์โรเวอร์คันนั้นยังเก็บกันอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นความประทับใจที่คนไทยหรือชาวโลกก็ตามที่ได้เห็นพระราชกรณียกิจทั้งหมดนี้ ก็ปลาบปลื้มและประทับใจ แล้วก็ดูทุกครั้งก็คิดถึง ดูทุกครั้งก็ร้องไห้ ขณะเดียวกันทุกคนก็รู้ว่านี่คือ สิ่งที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแนวทางไว้ให้คนไทยได้เดินตามรอย ก็หวังว่าคนไทยจะได้ดูแบบอย่างจากพระองค์ แล้วก็ช่วยกันพัฒนาสังคมไทย สำหรับพี่พระองค์ท่านไม่ได้เสด็จฯไปไหนเลย พระองค์ท่านทรงอยู่ในใจตลอดเวลา พระองค์ท่านไม่เคยจากเราไปไหนเลย พระองค์ท่านประทับอยู่ข้างในใจตลอด”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี